ตุลาคม
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม
ผมจะเฝ้ารอพระยะโฮวาต่อไป—มคา. 7:7
เรามักได้คำแนะนำเกี่ยวกับการนมัสการผ่านทางองค์การบ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นจากผู้ดูแลในประชาคม ผู้ดูแลหมวด สำนักงานสาขา หรือคณะกรรมการปกครอง แต่บางครั้งเราอาจไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมถึงมีคำแนะนำแบบนั้น เราอาจเอาแต่คิดว่าถ้าทำตามคำแนะนำนั้นมันจะออกมาดีได้ยังไง และอาจเริ่มมองแต่ความไม่สมบูรณ์แบบของพี่น้องที่ให้คำแนะนำนั้น เมื่อเราใช้ชีวิตตามความเชื่อ เราจะวางใจว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของพระยะโฮวาและพระองค์รู้ดีว่าเราต้องเจอกับอะไรบ้าง เมื่อเป็นอย่างนั้นเราก็พร้อมจะเชื่อฟังและคิดในแง่บวกเสมอ (ฮบ. 13:17) เรารู้ว่าการที่เราเชื่อฟังจะช่วยให้ประชาคมเป็นหนึ่งเดียวกัน (อฟ. 4:2, 3) ถึงแม้พี่น้องที่นำหน้าจะเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ แต่เราก็มั่นใจว่าถ้าเราเชื่อฟัง พระยะโฮวาจะอวยพรเรา (1 ซม. 15:22) และถ้าต้องมีการปรับเปลี่ยนคำแนะนำอะไรบางอย่างในองค์การ เราก็จะวางใจว่าพระยะโฮวาจะจัดการกับเรื่องนั้นแน่นอนเมื่อถึงเวลา ห25.03 น. 23-24 ว. 13-14
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม
พระเจ้า . . . เปิดเผยเรื่องลึกลับได้—ดนล. 2:28
เรากำลังอยู่ในสมัยที่น่าตื่นเต้นจริง ๆ ทุกวันเราได้เห็นคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลเกิดขึ้นจริงด้วยตาของเราเอง เช่น เราได้เห็น “กษัตริย์ทิศเหนือ” และ “กษัตริย์ทิศใต้” กำลังแย่งกันเป็นผู้นำของโลก (ดนล. 11:40, เชิงอรรถ) เราได้เห็นว่ามีการประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าไปทั่วโลก และมีหลายล้านคนกำลังเข้ามาในองค์การของพระองค์ (อสย. 60:22; มธ. 24:14) นอกจากนั้น เรายังได้รับอาหารที่เสริมความเชื่อมากมาย “ตามเวลาที่เหมาะสม” (มธ. 24:45-47) พระยะโฮวายังคงช่วยเราให้เข้าใจชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่ากำลังจะมีเหตุการณ์สำคัญอะไรบ้างเกิดขึ้นในอนาคต (สภษ. 4:18) เรามั่นใจว่าเมื่อความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่เริ่มต้น เราจะได้รู้สิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้เพื่อจะอดทนอย่างซื่อสัตย์และยังคงเป็นหนึ่งเดียวกับพี่น้องในช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้น แต่เราก็ต้องยอมรับว่ามีบางอย่างที่เราไม่รู้เกี่ยวกับอนาคตด้วย ห24.05 น. 8 ว. 1-2
วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม
เขาไม่ใส่ร้ายคนอื่น—สด. 15:3
ผู้เขียนหนังสือสดุดีพูดถึงการใส่ร้ายคนอื่น การพูดใส่ร้ายคนอื่นหมายถึงอะไร? หมายถึงการพูดโกหกที่จงใจทำลายชื่อเสียงของอีกคนหนึ่ง สดุดี 15:3 ยังเตือนเราด้วยว่า คนที่เป็นแขกของพระยะโฮวาจะไม่ทำชั่วต่อเพื่อนบ้านและไม่ใส่ร้ายเพื่อน (สด. 15:1) นี่หมายถึงอะไร? เราอาจใส่ร้ายคนอื่นโดยไม่ตั้งใจด้วยการพูดถึงพี่น้องในแง่ลบให้คนอื่นฟัง เช่น ลองคิดถึงสถานการณ์ต่อไปนี้ (1) พี่น้องหญิงคนหนึ่งไม่ได้เป็นไพโอเนียร์อีกต่อไป (2) พี่น้องสามีภรรยาคู่หนึ่งไม่ได้รับใช้ในเบเธลอีกต่อไป หรือ (3) พี่น้องชายคนหนึ่งไม่ได้เป็นผู้ดูแลหรือผู้ช่วยงานรับใช้อีกต่อไป มันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเลยที่เราจะคาดเดาว่าพี่น้องต้องไปทำอะไรผิดมาถึงทำให้พวกเขาไม่สามารถทำงานรับใช้ได้อีกต่อไป และไม่ถูกต้องด้วยที่เราจะเอาเรื่องที่เราคิดไปเล่าให้คนอื่นฟังต่อ ที่จริงอาจมีหลายอย่างที่เราไม่รู้ว่าทำไมพี่น้องเหล่านั้นถึงต้องปรับเปลี่ยนงานรับใช้ของพวกเขา แต่ไม่ว่าจะยังไง คนที่เป็นแขกในเต็นท์ของพระยะโฮวาจะ “ไม่ทำชั่วต่อเพื่อนบ้าน และไม่ใส่ร้ายเพื่อน” ห24.06 น. 11 ว. 11-13
วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม
ผมเห็นพระยะโฮวาอยู่ตรงหน้าผมเสมอ เพราะพระองค์อยู่ข้างขวามือผม ผมจะไม่กลัวเลย—สด. 16:8
เพื่อเราจะมีความเกรงกลัวพระยะโฮวามากขึ้น ทุกครั้งที่ตัดสินใจเราต้องคิดเสมอว่าเราจะทำยังไงเพื่อทำให้พระยะโฮวาพอใจ เมื่อคุณอ่านเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิล ลองถามตัวเองว่า ‘ถ้าฉันอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ฉันจะตัดสินใจยังไง?’ ตัวอย่างเช่น ลองนึกภาพว่าคุณกำลังฟังหัวหน้าชาวอิสราเอล 10 คนรายงานแต่เรื่องที่ไม่ดีหลังจากที่พวกเขากลับจากการไปดูแผ่นดินที่พระยะโฮวาสัญญาจะให้กับชาวอิสราเอล คุณจะเชื่อพวกเขาและกลัวตามพวกเขาไหม? หรือคุณรักพระยะโฮวามากกว่าและตั้งใจจะทำให้พระองค์พอใจ? ชาวอิสราเอลรุ่นนั้นมองไม่ออกว่าสิ่งที่โยชูวาและคาเลบพูดเป็นความจริง นี่เลยทำให้พวกเขาสูญเสียโอกาสที่จะได้เข้าในแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญา—กดว. 14:10, 22, 23 ห24.07 น. 10 ว. 7
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม
พระยะโฮวาเป็นผู้ตรวจดูหัวใจ—สภษ. 17:3
โกเมอร์ภรรยาของผู้พยากรณ์โฮเชยาเล่นชู้ เธอก็ทิ้งโฮเชยาแล้วไปอยู่กับผู้ชายคนอื่น แต่พระยะโฮวาพระเจ้าที่อ่านหัวใจทุกคนได้บอกโฮเชยาว่า “ขอให้กลับไปรักภรรยาอีกครั้งหนึ่งถึงแม้เธอจะนอกใจไปมีชายอื่น ให้รักอย่างที่เรายะโฮวารักชาวอิสราเอลถึงแม้พวกเขาจะหันไปหาพระอื่น” (ฮชย. 3:1; สภษ. 16:2) ขอสังเกตว่าภรรยาของโฮเชยายังทำบาปร้ายแรงอยู่ แต่พระยะโฮวาบอกโฮเชยาให้ไปหาเธอ ให้อภัยเธอ และพาเธอกลับมาเป็นภรรยาอีกครั้ง พระยะโฮวาใช้ตัวอย่างนี้เพื่อสอนชาวอิสราเอลว่าพระองค์รู้สึกยังไงกับพวกเขา ถึงแม้พวกเขาจะทำบาปร้ายแรง พระองค์ก็ยังรักพวกเขา พยายามช่วยเหลือพวกเขาให้กลับใจและเปลี่ยนแปลงแนวทางชีวิตใหม่ ตัวอย่างนี้สอนให้เรารู้ว่าพระยะโฮวาสามารถอ่านหัวใจของมนุษย์ทุกคนได้และพระองค์พยายามช่วยคนที่ยังทำผิดร้ายแรงอยู่ให้กลับใจ ห24.08 น. 10 ว. 7
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม
กฎหมายของโมเสสเป็นเงาของสิ่งดี ๆ ที่จะมีมา—ฮบ. 10:1
ชาวยิวในสมัยศตวรรษแรกที่เข้ามาเป็นคริสเตียนต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ในอดีตชาวยิวเคยเป็นประชาชนที่พระยะโฮวาเลือก กรุงเยรูซาเล็มเคยเป็นสถานที่สำคัญ มีกษัตริย์ที่เป็นตัวแทนของพระยะโฮวาอยู่ที่นั่น และพวกเขาก็มีวิหารที่เป็นศูนย์กลางของการนมัสการบริสุทธิ์ ชาวยิวที่ซื่อสัตย์ทำตามกฎหมายของโมเสสและทำตามกฎอื่น ๆ ที่พวกเขาได้เรียนจากพวกผู้นำศาสนา เช่น กฎเรื่องการกินอาหาร การเข้าสุหนัต และแม้แต่วิธีปฏิบัติกับคนต่างชาติ แต่หลังจากที่พระเยซูตาย กฎหมายของโมเสสก็ถูกยกเลิก และไม่จำเป็นต้องมีการถวายเครื่องบูชาที่วิหารอีกต่อไป การปรับเปลี่ยนนี้ไม่ง่ายสำหรับคริสเตียนชาวยิวเพราะพวกเขาเคยชินกับการทำตามกฎหมายของโมเสส (ฮบ. 10:1, 4, 10) แม้แต่คริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ เช่น อัครสาวกเปโตร ก็รู้สึกยากที่ต้องปรับเปลี่ยนด้วย (กจ. 10:9-14; กท. 2:11-14) และพอพวกเขาพยายามทำตามวิธีใหม่ พวกเขาก็ตกเป็นเป้าการโจมตีของพวกผู้นำศาสนาอีกด้วย ห24.09 น. 9 ว. 4
วันพุธที่ 7 ตุลาคม
ให้คิดถึงคนที่นำหน้าในหมู่พวกคุณซึ่งสอนถ้อยคำของพระเจ้าให้พวกคุณ—ฮบ. 13:7
เมื่อพระยะโฮวามอบหมายงานให้ผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์ก็คาดหมายให้พวกเขาทำงานอย่างเป็นระบบระเบียบและมีการดำเนินงานแบบองค์การ (1 คร. 14:33) ตัวอย่างเช่น พระยะโฮวาต้องการให้มีการประกาศข่าวดีไปทั่วโลก (มธ. 24:14) พระองค์เลยแต่งตั้งพระเยซูให้ดูแลงานนี้ และพระเยซูก็จัดระเบียบงานนี้อย่างดี ในสมัยศตวรรษแรกมีการตั้งประชาคมในที่ต่าง ๆ และมีการแต่งตั้งผู้ดูแลให้นำหน้าและให้คำแนะนำกับประชาคมเหล่านั้น (กจ. 14:23) ในกรุงเยรูซาเล็มมีคณะผู้ดูแลกลุ่มหนึ่งซึ่งประกอบด้วยพวกอัครสาวกและผู้ดูแลที่เป็นผู้ชายสูงอายุ พวกเขาจะตัดสินใจเรื่องสำคัญต่าง ๆ และจากนั้นจะส่งคำตัดสินไปถึงทุกประชาคมเพื่อให้พี่น้องทำตาม (กจ. 15:2; 16:4) เมื่อพี่น้องทำตามคำแนะนำนั้น “ประชาคมต่าง ๆ จึงมีความเชื่อเข้มแข็งขึ้นและมีคนเข้ามาเชื่อเพิ่มขึ้นทุกวัน”—กจ. 16:5 ห24.04 น. 8 ว. 1
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม
มารีย์มักดาลาก็ไปหาพวกสาวกและบอกว่า “ฉันได้เจอนายของพวกเราด้วย!”—ยน. 20:18
ตอนเช้าตรู่ของวันที่ 16 เดือนนิสาน มีผู้หญิงที่ซื่อสัตย์กลุ่มหนึ่งไปที่อุโมงค์ฝังศพของพระเยซู (ลก. 24:1, 10) ให้เรามาดูประสบการณ์ของผู้หญิงคนหนึ่งเป็นพิเศษคือมารีย์มักดาลา ตอนที่เธอมาถึงอุโมงค์ฝังศพ เธอก็ไม่พบร่างของพระเยซูแล้ว เธอเลยรีบวิ่งไปบอกเปโตรกับยอห์น แล้วพอ 2 คนนี้รู้ พวกเขาก็รีบมาดูและมารีย์ก็ตามพวกเขามาด้วย หลังจากที่ 2 คนนี้ได้เห็นกับตาว่าร่างของพระเยซูไม่อยู่แล้ว พวกเขาก็กลับบ้าน แต่มารีย์ไม่กลับ เธอยังอยู่ที่เดิม ยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้น เธอไม่รู้ว่าตอนนั้นพระเยซูเห็นและกำลังดูเธออยู่ ท่านเห็นว่ามารีย์เสียใจแค่ไหนและอยากจะปลอบใจเธอ ท่านเลยปรากฏตัวกับมารีย์และทำบางอย่างซึ่งแม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ก็ทำให้เธอได้รับกำลังใจมาก ท่านพูดกับเธอและให้งานมอบหมายที่สำคัญมากกับเธอ คือการไปบอกให้พี่น้องของท่านรู้ว่าท่านฟื้นขึ้นจากตายแล้ว—ยน. 20:17, 18 ห24.10 น. 13 ว. 7
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม
เราจะทำการอัศจรรย์และการอิทธิฤทธิ์หลายอย่างในอียิปต์—อพย. 7:3
โมเสสรับใช้เป็นผู้พยากรณ์ ผู้พิพากษา ผู้บัญชาการ และนักประวัติศาสตร์ เขาพาชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์เพื่อให้พ้นจากการเป็นทาส และเขาได้เห็นการอัศจรรย์ของพระยะโฮวาด้วยตาของตัวเอง พระยะโฮวาใช้เขาให้เขียนหนังสือ 5 เล่มแรกในคัมภีร์ไบเบิล หนังสือสดุดีบท 90 และเขาน่าจะเขียนหนังสือสดุดีบท 91 และหนังสือโยบด้วย โมเสสตายตอนอายุ 120 ปี ไม่นานก่อนที่เขาจะตาย เขาเรียกชาวอิสราเอลทุกคนมาเพื่อช่วยให้พวกเขาไม่ลืมสิ่งที่พระยะโฮวาเคยทำเพื่อพวกเขา บางคนเคยได้เห็นพระยะโฮวาทำการอัศจรรย์หลายอย่าง และได้เห็นพระองค์พิพากษาลงโทษชาวอียิปต์ (อพย. 7:4) พวกเขาเคยเดินผ่านทะเลแดงที่ถูกแยกออกและเห็นกองทัพของฟาโรห์ถูกทำลาย (อพย. 14:29-31) ตอนที่อยู่ในที่กันดาร พวกเขาก็ได้เห็นว่าพระยะโฮวาคอยดูแลปกป้องพวกเขายังไงบ้าง (ฉธบ. 8:3, 4) ตอนนี้ชาวอิสราเอลกำลังจะเข้าสู่แผ่นดินที่พระเจ้าสัญญา โมเสสเลยใช้โอกาสสุดท้ายนี้เพื่อจะให้กำลังใจพวกเขา ห24.11 น. 8-9 ว. 3-4
วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม
ถ้าใครได้กินอาหารนี้ เขาจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป . . . อาหารที่ผมจะให้เพื่อมนุษย์จะได้ชีวิตก็คือเนื้อของผมเอง—ยน. 6:51
สิ่งที่พระเยซูพูดกับอัครสาวกของท่านในการฉลองอาหารมื้อเย็นของพระคริสต์หมายถึงคนจำนวนจำกัด แต่สิ่งที่ท่านพูดกับฝูงชนที่กาลิลีหมายถึงคนจำนวนไม่จำกัด ตอนที่พระเยซูอยู่ที่กาลิลีในปี ค.ศ. 32 ท่านพูดกับชาวยิวที่แค่อยากกินขนมปังจากท่าน ถึงอย่างนั้นท่านก็ยังพยายามช่วยพวกเขาให้สนใจสิ่งที่สำคัญกว่าอาหาร นั่นคือการจัดเตรียมที่จะช่วยให้พวกเขามีชีวิตตลอดไป พระเยซูถึงกับบอกว่าคนที่ตายไปแล้วก็จะถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นมาและมีชีวิตตลอดไปด้วย ตอนนั้นท่านเน้นพรที่คนมากมายจะได้รับ ท่านไม่ได้หมายถึงคนจำนวนจำกัดอย่างที่ท่านบอกไว้ในการฉลองอาหารมื้อเย็นของพระคริสต์ ห24.12 น. 11 ว. 10-11
วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม
คนที่เป็นสามี ให้รักภรรยาเสมอ—คส. 3:19
พระยะโฮวาเกลียดคนที่ใช้ความรุนแรง (สด. 11:5) พระองค์ยิ่งตำหนิสามีที่ใช้ความรุนแรงกับภรรยา (มลค. 2:16) ถ้าสามีคนไหนทำไม่ดีกับภรรยา มันก็จะส่งผลต่อความสัมพันธ์ที่เขามีกับพระยะโฮวาด้วย พระองค์อาจถึงกับไม่ฟังคำอธิษฐานของเขา (1 ปต. 3:7) สามีบางคนด่าภรรยาและชอบใช้คำพูดแรง ๆ ที่ทำให้เธอเสียใจ แต่พระยะโฮวาเกลียด “ความโกรธ ความโมโห การตวาด การพูดดูถูกเหยียดหยาม” (อฟ. 4:31, 32) สามีที่พูดไม่ดีกับภรรยาไม่เพียงทำลายชีวิตคู่ของตัวเองเท่านั้น แต่ยังทำลายความสัมพันธ์ที่เขามีกับพระยะโฮวาด้วย (ยก. 1:26) สามีที่ดูสื่อลามกก็เหมือนกัน เขาไม่เพียงแต่ทำลายสายสัมพันธ์ที่เขามีกับพระยะโฮวาเท่านั้น แต่ยังทำให้ภรรยาของเขารู้สึกว่าไม่มีค่าด้วย พระยะโฮวาคาดหมายให้สามีซื่อสัตย์กับภรรยาไม่ใช่แค่การกระทำเท่านั้นแต่ในความคิดด้วย พระเยซูบอกว่าผู้ชายคนไหนที่มองผู้หญิงจนเกิดความใคร่ ก็เป็นชู้ “ในใจ” กับผู้หญิงคนนั้นแล้ว—มธ. 5:28, 29 ห25.01 น. 9 ว. 6-8
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม
คนที่พระเจ้าถือว่าเป็นที่ยอมรับของพระองค์ . . . ต้องเชื่อในพระเยซูคริสต์—กท. 2:16
การเป็นที่ยอมรับของพระเจ้าหรือการที่พระเจ้ามองว่าเรามีความถูกต้องชอบธรรมหมายความว่า พระองค์ลบล้างบาปทั้งหมดของเราและมองว่าเราไม่มีความผิด การที่พระองค์ทำแบบนี้พระองค์ไม่ได้ละเมิดมาตรฐานเรื่องความยุติธรรมของพระองค์เอง เรื่องนี้ไม่ได้เกิดจากการที่เราเองทำตัวให้สมควรเป็นที่ยอมรับของพระองค์ หรือไม่ได้เกิดจากการที่พระองค์มองข้ามบาปที่เราทำ แต่เป็นเพราะเราแสดงความเชื่อในการจัดเตรียมเรื่องไถ่บาปและค่าไถ่ที่จ่ายไปแล้ว พระองค์เลยเต็มใจที่จะยกหนี้และให้อภัยบาปเรา (รม. 3:24) นี่มีความหมายยังไงสำหรับเราแต่ละคน? สำหรับคนที่ได้ถูกเลือกให้ปกครองกับพระเยซูในสวรรค์ พวกเขาได้รับการยอมรับให้เป็นลูกของพระเจ้า (ทต. 3:7; 1 ยน. 3:1) บาปของพวกเขาได้รับการอภัยแล้ว มันเหมือนกับว่าพวกเขาถูกลบล้างประวัติความผิดและถูกมองว่าไม่เคยทำบาปมาก่อนเลย นี่เลยทำให้พวกเขามีคุณสมบัติที่จะปกครองในรัฐบาลสวรรค์ (รม. 8:1, 2, 30) สำหรับคนที่มีความหวังบนโลก พวกเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นเพื่อนของพระเจ้าและพระองค์ให้อภัยบาปพวกเขาแล้ว—ยก. 2:21-23 ห25.02 น. 5 ว. 17; น. 7 ว. 18
วันอังคารที่ 13 ตุลาคม
ที่คุณคิดอยู่นี้ไม่ใช่ความคิดของพระเจ้า แต่เป็นความคิดของมนุษย์—มธ. 16:23
มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่อัครสาวกเปโตรไม่ได้คิดเหมือนกับพระยะโฮวา ตอนนั้นพระเยซูบอกกับพวกอัครสาวกว่าท่านต้องไปที่กรุงเยรูซาเล็ม และท่านจะต้องถูกส่งตัวให้กับพวกหัวหน้าศาสนา ถูกทรมาน และก็ถูกฆ่า (มธ. 16:21) เปโตรรับไม่ได้ที่พระยะโฮวาปล่อยให้พระเยซูซึ่งเป็นเมสสิยาห์ที่สัญญาไว้และเป็นความหวังของอิสราเอลถูกฆ่า (มธ. 16:16) เขาก็เลยดึงตัวพระเยซูมาและทักท้วงว่า “อาจารย์ สงสารตัวเองเถอะ ท่านจะไม่เจอเรื่องร้าย ๆ อย่างนั้นหรอก” (มธ. 16:22) ที่เปโตรพูดแบบนั้นเป็นเพราะเขาไม่ได้คิดเหมือนกับพระยะโฮวา มันก็เลยทำให้เขาไม่ได้คิดสอดคล้องกับพระเยซู พระเยซูรู้ว่าพระยะโฮวาต้องการให้ท่านทำอะไร ท่านจะต้องทนทุกข์และต้องตาย ดังนั้น พระเยซูก็เลยไม่ฟังคำแนะนำของเปโตรทั้ง ๆ ที่เขาก็มีเจตนาดี แล้วเปโตรก็ได้บทเรียนจากเรื่องนี้ว่าเขาต้องคิดเหมือนกับพระยะโฮวา และนี่ก็เป็นบทเรียนสำหรับเราด้วยเหมือนกัน ห25.03 น. 9 ว. 5-6
วันพุธที่ 14 ตุลาคม
พระยะโฮวาอยู่ใกล้คนที่หัวใจแตกสลาย พระองค์คอยช่วยคนที่เศร้าเสียใจ—สด. 34:18
คุณกำลังเจ็บปวดใจเพราะผิดหวังหรือถูกคนที่คุณไว้ใจทรยศหักหลังไหม? ให้จำไว้ว่าไม่ว่าคนอื่นจะทำกับคุณยังไง พระยะโฮวาพ่อในสวรรค์ก็ยังรักคุณอย่างมั่นคง ถ้าคุณถูกทรยศ คุณยังได้กำลังใจจากการอ่านคำพูดของดาวิดที่ในข้อคัมภีร์ประจำวันนี้ แหล่งอ้างอิงหนึ่งบอกว่าคนที่ “เศร้าเสียใจ” อาจหมายถึงคนที่คิดว่าไม่มีหวังอะไรอีกแล้วในอนาคต พระยะโฮวาจะช่วยคนที่รู้สึกผิดหวังขนาดนั้นยังไง? ลองนึกถึงพ่อแม่ที่รักลูกมาก ตอนที่ลูกร้องไห้เสียใจพ่อแม่จะกอดและคอยปลอบลูกไม่ห่าง เหมือนกันถ้าเราหัวใจสลายเพราะถูกทรยศหรือถูกทิ้ง พระยะโฮวาก็จะ “อยู่ใกล้” เรา ปลอบใจเรา และอยู่พร้อมจะช่วยเรา นอกจากนั้น พระองค์ยังให้ความหวังดี ๆ กับเราเกี่ยวกับอนาคตซึ่งช่วยให้เราอดทนกับความยากลำบากที่กำลังเจอได้—อสย. 65:17 ห24.12 น. 23 ว. 13-14
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม
พวกคุณ . . . จะได้รับรางวัลจากพระยะโฮวา—คส. 3:24
ผู้ดูแลในทุกวันนี้มั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาเห็นค่างานทุกอย่างที่พวกเขาทำ นอกเหนือจากงานบำรุงเลี้ยง งานสอน และงานประกาศแล้ว ผู้ดูแลหลายคนยังช่วยในโครงการก่อสร้างและอยู่ในคณะกรรมการบรรเทาทุกข์ด้วย ส่วนบางคนทำงานในคณะกรรมการประสานงานกับโรงพยาบาลหรือไม่ก็ทำงานในกลุ่มเยี่ยมผู้ป่วย ผู้ดูแลที่ทำงานหนักเหล่านี้รู้ว่าพี่น้องในประชาคมเป็นของพระยะโฮวา พวกเขาตั้งใจทำงานรับใช้อย่างสุดความสามารถเพราะพวกเขามั่นใจว่าพระเจ้าจะให้รางวัลพวกเขา (คส. 3:23, 24) ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นผู้ดูแลได้ แต่เราทุกคนก็มีบางสิ่งที่ให้กับพระยะโฮวาได้ พระยะโฮวาเห็นค่าเมื่อเราพยายามสุดความสามารถที่จะรับใช้พระองค์ พระองค์สังเกตเห็นเมื่อเราบริจาคให้กับงานทั่วโลกแม้เราอาจคิดว่าให้ได้ไม่มากก็ตาม และพระองค์มีความสุขมากเมื่อเราพยายามมองข้ามความผิดของคนอื่นและให้อภัยกัน ขอให้มั่นใจว่าพระยะโฮวาเห็นค่าทุกสิ่งที่คุณทำ พระองค์รักคุณมาก และพระองค์จะให้รางวัลกับคุณ—ลก. 21:1-4 ห24.06 น. 23 ว. 12-13
วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม
อย่าปล่อยใจไปกับเธอ อย่าหลงเดินเข้าไปในทางของเธอ—สภษ. 7:25
ตัวอย่างนี้ทำให้เห็นว่าสิ่งนี้อาจเกิดขึ้นกับผู้รับใช้ของพระยะโฮวาได้ทุกคน เช่น คริสเตียนคนหนึ่งอาจทำผิดพลาดร้ายแรงและรู้สึกว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นทันทีหรือเกิดขึ้นเร็วมากแบบไม่ทันตั้งตัว แต่ถ้าเขาคิดดี ๆ เขาก็อาจเห็นว่าตัวเองตัดสินใจทำอะไรที่ไม่ฉลาดหลายอย่างซึ่งนำไปสู่การทำผิด เช่น เขาอาจคบเพื่อนไม่ดี ดูความบันเทิงที่ไม่เหมาะสม หรือไปอยู่ในที่ที่คริสเตียนไม่ควรอยู่ทั้งในสถานที่จริงหรือทางอินเทอร์เน็ต บางทีเขาอาจเลิกอธิษฐาน ไม่ได้อ่านคัมภีร์ไบเบิล ไม่ได้ไปประชุม หรือไปประกาศ เหมือนกับชายหนุ่มที่พูดถึงในสุภาษิต สิ่งที่เขาทำไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่มันเกิดจากการตัดสินใจที่ไม่ฉลาดหลายครั้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น บทเรียนสำหรับเราคืออะไร? เราต้องไม่ใช่แค่ระวังที่จะไม่ทำผิด แต่ต้องระวังสิ่งต่าง ๆ ที่อาจนำไปสู่การทำผิดด้วย โซโลมอนพูดถึงเรื่องนี้หลังจากที่เขาพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับชายหนุ่มคนนั้นแล้ว—มธ. 5:29, 30 ห24.07 น. 16 ว. 10-11
วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม
เราก็เป็นเหมือนภาชนะดินที่ใส่ของมีค่าไว้—2 คร. 4:7
ของมีค่านี้คืออะไร? นั่นก็คือการประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าซึ่งเป็นงานที่ช่วยชีวิตผู้คน (2 คร. 4:1) ส่วนภาชนะดินคืออะไร? ก็คือผู้รับใช้ของพระเจ้าที่ประกาศข่าวดีให้กับคนอื่น ในสมัยของเปาโล พ่อค้าจะใช้ไหดินเหนียวเพื่อขนส่งของมีค่าต่าง ๆ เช่น อาหาร ไวน์ และเงิน คล้ายกันพระยะโฮวามอบหมายให้เราประกาศข่าวดีที่มีค่าสำหรับผู้คน ถ้าพระยะโฮวาช่วยเรา เราก็จะมีกำลังและความเข้มแข็งเพื่อจะประกาศอย่างซื่อสัตย์ต่อ ๆ ไป บางครั้งเราอาจรู้สึกกลัวคนหรือกลัวว่าจะไม่มีใครฟังเรา เราจะเอาชนะความกลัวแบบนี้ได้ยังไง? ให้เรามาดูคำอธิษฐานของพวกอัครสาวกตอนที่พวกเขาถูกสั่งห้ามไม่ให้ประกาศ พวกเขาไม่ได้กลัวจนเลิกประกาศ แต่พวกเขาอธิษฐานถึงพระยะโฮวาขอพระองค์ให้ช่วยพวกเขา “กล้าประกาศคำสอนของพระองค์ต่อไป” และพระยะโฮวาตอบคำอธิษฐานของพวกเขาทันที (กจ. 4:18, 29, 31) ถ้าบางครั้งคุณกลัวคนจนไม่กล้าประกาศ ให้ขอพระยะโฮวาช่วยคุณให้เอาชนะการกลัวคนและกล้าประกาศข่าวดีให้กับพวกเขา ห24.04 น. 16 ว. 8-9
วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม
พระเจ้า พ่อของพวกเราในสวรรค์ ขอให้ชื่อของพระองค์เป็นที่เคารพนับถืออยู่เสมอ—มธ. 6:9
เพราะเรารักพระยะโฮวา เราเลยอยากทำให้ชื่อของพระองค์เป็นที่เคารพนับถืออยู่เสมอ เราอยากมีส่วนในการลบล้างข้อกล่าวหาที่ซาตานพูดโกหกเกี่ยวกับพระยะโฮวา (ปฐก. 3:1-5; โยบ 2:4; ยน. 8:44) เมื่อเราออกไปประกาศ เรากล้าที่จะพูดปกป้องพระยะโฮวาโดยการบอกความจริงเกี่ยวกับพระองค์ให้กับทุกคนที่อยากฟัง เราอยากให้ทุกคนรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าที่เป็นความรัก นี่เป็นคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมที่สุดของพระองค์ เราอยากให้ผู้คนรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าที่ตัดสินอย่างถูกต้องและยุติธรรม และอีกไม่นานรัฐบาลของพระองค์จะกำจัดความทุกข์ทั้งหมดและทำให้มนุษย์มีแต่ความสงบและความสุข (สด. 37:10, 11, 29; 1 ยน. 4:8) เมื่อเราปกป้องชื่อเสียงของพระยะโฮวาตอนที่เราไปประกาศ เราก็กำลังทำให้ชื่อของพระองค์เป็นที่เคารพนับถืออยู่เสมอ และเรายังมีความสุขด้วยที่ได้รู้ว่าเรากำลังใช้ชีวิตอย่างที่สมกับเป็นพยานพระยะโฮวา ห24.05 น. 18 ว. 12
วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม
แต่เมื่อคุณจัดงานเลี้ยง ให้เชิญคนจน คนพิการ คนง่อย คนตาบอด แล้วคุณจะมีความสุขเพราะพวกเขาไม่มีอะไรจะตอบแทน แต่คุณจะได้รับการตอบแทนเมื่อพระเจ้าปลุกคนที่เชื่อฟังพระองค์ให้ฟื้นขึ้นจากตาย—ลก. 14:13, 14
พี่น้องชายทั้งหลาย คุณจะแสดงว่าเป็นคน “มีน้ำใจต้อนรับแขก” ได้เมื่อคุณทำดีกับคนอื่นแม้แต่กับคนที่ไม่ใช่เพื่อนสนิทของคุณด้วย (1 ปต. 4:9) หนังสืออ้างอิงเล่มหนึ่งพูดถึงคนที่ มีน้ำใจต้อนรับแขกว่า “เขาเป็นคนที่เปิดประตูบ้านและเปิดประตูใจให้คนแปลกหน้า” ให้ถามตัวเองว่า ‘ผมมีชื่อเสียงที่ดีในการต้อนรับแขกไหม?’ (ฮบ. 13:2, 16) คนที่มีน้ำใจต้อนรับแขกจะต้อนรับทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนจนหรือคนที่ทำงานหนักในงานรับใช้ เช่น ผู้ดูแลหมวดและผู้บรรยายที่มาจากประชาคมอื่น—ปฐก. 18:2-8; สภษ. 3:27; กจ. 16:15; รม. 12:13 ห24.11 น. 21 ว. 6
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม
หญิงสาวที่เตรียมพร้อมก็ได้เข้าไปในงานแต่งงานกับเจ้าบ่าว—มธ. 25:10
ในตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องหญิงสาวบริสุทธิ์ พระเยซูพูดถึงหญิงสาวบริสุทธิ์ 10 คนที่ออกไปรอรับเจ้าบ่าว (มธ. 25:1-4) พวกเธอรอที่จะเข้าไปในงานแต่งงานพร้อมเจ้าบ่าว พระเยซูบอกว่าหญิงสาวบริสุทธิ์ 5 คนเป็น “คนฉลาด” ส่วนอีก 5 คนเป็น “คนโง่” หญิงสาวบริสุทธิ์ที่ฉลาดเตรียมพร้อมจะรอเจ้าบ่าวนานแค่ไหนก็ได้ แม้จะต้องรอจนดึกก็ตาม พวกเธอเลยเอาตะเกียงน้ำมันไปด้วย และยังเอาน้ำมันสำรองไปอีกเผื่อเจ้าบ่าวจะมาช้ากว่าที่คิด (มธ. 25:6-10) เมื่อเจ้าบ่าวมาถึง หญิงสาวที่ฉลาดก็ได้เข้าไปในงานแต่งงานพร้อมกันกับเจ้าบ่าว คล้ายกัน ผู้ถูกเจิมก็ต้องเตรียมพร้อมและตื่นตัวอยู่เสมอและซื่อสัตย์จนกว่าพระคริสต์จะมาให้รางวัลกับพวกเขา โดยให้พวกเขาเข้าร่วมการปกครองกับท่านในรัฐบาลสวรรค์—วว. 7:1-3 ห24.09 น. 21 ว. 6
วันพุธที่ 21 ตุลาคม
ผมก็เห็น . . . ชนฝูงใหญ่ . . . จากทุกประเทศ—วว. 7:9
เมื่อเราคิดว่างานประกาศช่วยผู้คนได้มากขนาดไหน มันจะกระตุ้นให้เราประกาศด้วยความกระตือรือร้นต่อ ๆ ไป ทุกปีมีผู้สนใจหลายล้านคนเข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์และศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับเรา และก็มีอีกหลายแสนคนที่รับบัพติศมาและมาประกาศข่าวดีด้วยกันกับเรา เราไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีอีกกี่คนที่ตอบรับข่าวดี แต่สิ่งที่เรารู้ก็คือพระยะโฮวาจะรวบรวมชนฝูงใหญ่ให้รอดผ่านความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่ (วว. 7:9, 14) พระยะโฮวาผู้เป็นเจ้าของนายังคงมั่นใจว่าจะมีอีกหลายคนที่ตอบรับความจริง เราเลยมีเหตุผลที่ดีที่จะประกาศต่อ ๆ ไป (ลก. 10:2) ใคร ๆ ก็รู้ว่าคนที่เป็นสาวกแท้ของพระเยซูจะประกาศอย่างกระตือรือร้น เช่น ตอนที่ผู้คนเห็นว่าพวกอัครสาวกกระตือรือร้นมากแค่ไหนในงานประกาศ ‘พวกเขาก็คิดได้ว่าคนเหล่านี้เคยอยู่กับพระเยซู’ (กจ. 4:13) ดังนั้น ตอนที่เราทำงานประกาศ ขอให้เรากระตือรือร้นเหมือนกัน เพราะนี่จะทำให้คนอื่นสังเกตเห็นว่าเราก็กำลังเลียนแบบพระเยซู ห25.03 น. 18 ว. 15; น. 19 ว. 17-18
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม
พระยะโฮวา มนุษย์เป็นใครกัน พระองค์จึงสนใจเขา?—สด. 144:3
เราได้เรียนจากคัมภีร์ไบเบิลว่าพระยะโฮวาสนใจคนที่ดูเหมือนว่าไม่สำคัญในสายตาของคนอื่น ตัวอย่างเช่น พระยะโฮวาให้ผู้พยากรณ์ซามูเอลไปที่บ้านของเจสซีเพื่อเจิมลูกชายคนหนึ่งของเขาให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอลในอนาคต เจสซีมีลูกชาย 8 คน แต่เขาเรียกแค่ 7 คนให้มาหาซามูเอล เขาไม่ได้เรียกดาวิดลูกคนสุดท้องให้มาด้วย ในที่สุดพระยะโฮวาก็เลือกดาวิด (1 ซม. 16:6, 7, 10-12) พระยะโฮวารู้ว่าดาวิดเป็นคนยังไงและรู้ว่าดาวิดรักพระองค์มากจริง ๆ ลองคิดดูว่าที่ผ่านมาพระยะโฮวาแสดงให้เห็นยังไงบ้างว่าพระองค์สนใจในตัวคุณ พระองค์ให้คำแนะนำที่เหมาะกับความต้องการของคุณพอดี (สด. 32:8) นี่แสดงให้เห็นว่าพระองค์รู้จักคุณอย่างดี (สด. 139:1) และเมื่อคุณเอาคำแนะนำของพระยะโฮวามาใช้และเห็นว่ามันช่วยคุณได้ยังไง คุณก็มั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาสนใจในตัวคุณจริง ๆ (1 พศ. 28:9; กจ. 17:26, 27) พระยะโฮวาเห็นทุกสิ่งที่คุณทำเพื่อจะรับใช้และเชื่อฟังพระองค์ พระองค์ยังเห็นคุณลักษณะดี ๆ ของคุณและอยากเป็นเพื่อนกับคุณ—ยรม. 17:10 ห24.10 น. 25-26 ว. 7-9
วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม
ท่านเห็นผู้คนมากมายมารออยู่ก็รู้สึกสงสาร เพราะพวกเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง—มก. 6:34
แน่นอนว่าคุณรักพระยะโฮวาและอยากรับใช้คนอื่น แล้วอะไรจะช่วยให้คุณอยากรับใช้พี่น้องมากขึ้น? ลองคิดดูสิว่าคุณจะมีความสุขมากแค่ไหนถ้าได้รับใช้พี่น้อง พระเยซูบอกว่า “การให้ทำให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ” (กจ. 20:35) พระเยซูเองใช้ชีวิตตามหลักการนี้ และท่านมีความสุขแท้จากการรับใช้คนอื่น ลองดูตัวอย่างของพระเยซูที่มาระโก 6:31-34 ตอนนั้นท่านกับอัครสาวกเหนื่อยมาก พวกเขากำลังจะไปหาที่ส่วนตัวที่ห่างไกลผู้คนเพื่อจะได้พักสักหน่อย แต่มีฝูงชนกลุ่มหนึ่งไปดักรอพวกเขาเพราะอยากฟังพระเยซูสอน จริง ๆ แล้วพระเยซูจะปฏิเสธก็ได้เพราะตอนนั้นทั้งท่านและอัครสาวกของท่าน “ไม่มีเวลาแม้แต่จะกินอาหาร” หรือพระเยซูอาจจะสอนความจริงกับฝูงชนแค่เรื่องสองเรื่องแล้วก็ให้พวกเขากลับบ้านไปก็ได้ แต่พระเยซูรักผู้คนท่านเลย “สอนพวกเขาหลายเรื่อง” จนถึงเย็น—มก. 6:35 ห24.11 น. 16 ว. 9-10
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม
สิ่งที่พวกท่านทำจะได้ผลตอบแทนแน่นอน—2 พศ. 15:7
พวกคุณที่เป็นพ่อแม่ ขอให้สนับสนุนลูกให้มองหาโอกาสที่จะพูดเรื่องคัมภีร์ไบเบิลกับคนอื่น (รม. 10:10) คุณอาจเปรียบการคุยเรื่องคัมภีร์ไบเบิลเป็นเหมือนการเรียนเล่นเครื่องดนตรีสักชิ้นหนึ่ง คนที่หัดเล่นใหม่ ๆ อาจจะต้องฝึกเล่นเพลงง่าย ๆ ไปก่อนจนกว่าจะเล่นเครื่องดนตรีนั้นได้คล่อง เหมือนกันวัยรุ่นคริสเตียนก็ต้องฝึกพูดเรื่องคัมภีร์ไบเบิลแบบง่าย ๆ ก่อน เช่น เขาอาจถามเพื่อนนักเรียนว่า “นายรู้ไหมว่าพวกวิศวกรเวลาเขาจะประดิษฐ์อะไรขึ้นมาสักอย่าง เขามักจะเลียนแบบธรรมชาติ? เรามีวีดีโออันหนึ่งอยากให้นายดู” หลังจากเปิดวีดีโอเรื่องหนึ่งจากวีดีโอชุดมีผู้ออกแบบไหม? เขาอาจบอกเพื่อนว่า “ถ้าใคร ๆ รู้สึกทึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ประดิษฐ์สิ่งของพวกนี้ได้ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเลียนแบบธรรมชาติ แล้วผู้ที่สร้างสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติก็ยิ่งต้องเก่งมากกว่านั้นไม่รู้กี่เท่าใช่ไหม?” การพูดคุยกันง่าย ๆ แบบนี้ก็อาจกระตุ้นความสนใจของเพื่อนนักเรียนและอาจทำให้เขาอยากรู้มากขึ้นอีก ห24.12 น. 19 ว. 17-18
วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม
บาปเข้ามาในโลกเพราะคนคนเดียว และความตายเกิดขึ้นเพราะบาปนั้น—รม. 5:12
เพื่อที่พระยะโฮวาจะช่วยเราให้หลุดพ้นจากบาปและความตาย พระองค์ได้จัดเตรียมให้พระเยซูมาเป็นค่าไถ่เพื่อเรา แต่การสละชีวิตของมนุษย์สมบูรณ์แค่คนเดียวจะไถ่คนเป็นล้าน ๆ ได้ยังไง? อัครสาวกเปาโลให้คำตอบว่า “เหมือนกับที่การไม่เชื่อฟังของคนคนเดียว [อาดัม] ทำให้คนมากมายเป็นคนบาป การเชื่อฟังของคนคนเดียว [พระเยซู] ก็ทำให้คนมากมายเป็นที่ยอมรับของพระเจ้า” (รม. 5:19; 1 ทธ. 2:6) พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เรากลายเป็นคนบาปและต้องตายก็เพราะมนุษย์สมบูรณ์แบบคนเดียวที่ไม่เชื่อฟัง ดังนั้น การช่วยเราให้พ้นจากบาปและความตายก็ใช้แค่ชีวิตของมนุษย์สมบูรณ์แบบคนเดียวที่เชื่อฟังก็เพียงพอแล้ว พระยะโฮวาจำเป็นต้องส่งพระเยซูมาตายเพื่อเราจริง ๆ เหรอ? พระองค์แค่ให้ลูกหลานของอาดัมที่เชื่อฟังมีชีวิตตลอดไปเลยไม่ได้เหรอ? ในมุมมองของมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แบบอย่างเรา เราอาจคิดว่านี่เป็นทางออกที่ดีและมีเหตุผล แต่สำหรับพระยะโฮวาซึ่งเป็นพระเจ้าที่แสดงความยุติธรรมอย่างสมบูรณ์แบบ พระองค์ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้ พระองค์ไม่สามารถที่จะมองข้ามการจงใจไม่เชื่อฟังของอาดัม ห25.01 น. 21 ว. 3-4
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม
เราจึงใช้ชีวิตตามความเชื่อ ไม่ใช่ตามสิ่งที่เห็น—2 คร. 5:7
อัครสาวกเปาโลรู้ว่าอีกไม่นานเขาจะต้องตาย แต่พอมองย้อนกลับไปว่าที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตยังไง เขาก็ได้เห็นเลยว่าเขาได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าแล้ว และนี่ทำให้เขามีความสุข เขาบอกว่า “ผมวิ่งแข่งจนถึงเส้นชัยแล้ว และผมก็ยังคงรักษาความเชื่อไว้ได้” (2 ทธ. 4:6-8) เปาโลได้ตัดสินใจอย่างฉลาดโดยเลือกที่จะรับใช้พระยะโฮวาตลอดชีวิต และเขามั่นใจว่าพระยะโฮวาพอใจในตัวเขา เราก็อยากเป็นเหมือนกับเปาโล เราอยากตัดสินใจอย่างฉลาดและทำให้พระยะโฮวาพอใจ เราจะทำแบบนั้นได้ยังไง? เปาโลพูดถึงตัวเขาและคริสเตียนที่ซื่อสัตย์คนอื่น ๆ ว่า “เราจึงใช้ชีวิตตามความเชื่อ ไม่ใช่ตามสิ่งที่เห็น” (2 คร. 5:7) คนที่ใช้ชีวิตตามความเชื่อจะตัดสินใจโดยพึ่งพระยะโฮวา สิ่งที่เขาทำแสดงให้เห็นว่าเขามั่นใจว่าจะได้ประโยชน์จากคำแนะนำของพระยะโฮวาที่อยู่ในคัมภีร์ไบเบิล และมั่นใจว่าในอนาคตพระองค์จะให้รางวัลกับเขาแน่นอน—สด. 119:66; ฮบ. 11:6 ห25.03 น. 20 ว. 1-2
วันอังคารที่ 27 ตุลาคม
เปลี่ยนแปลงตัวเองโดยเปลี่ยนความคิดของคุณใหม่—รม. 12:2
พลังบริสุทธิ์ได้ช่วยหลายคนที่เคยมีนิสัยดุร้ายเหมือนสัตว์ให้เปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างสิ้นเชิง (อสย. 65:25) พวกเขาได้ทิ้งนิสัยเก่า ๆ ที่ไม่ดี (อฟ. 4:22-24) แน่นอนว่าคนของพระเจ้ายังไม่สมบูรณ์แบบ เราเลยยังทำผิดพลาดอยู่ แต่พระยะโฮวาได้รวบรวม “คนทุกชนิด” ที่รักพระองค์และรักกันให้มาอยู่ด้วยกัน ผลก็คือ เรามีสันติสุขและเป็นหนึ่งเดียวกัน (ทต. 2:11) นี่เป็นการอัศจรรย์ที่มีแต่พระเจ้าผู้มีพลังอำนาจสูงสุดเท่านั้นที่ทำได้ คำพูดของพระยะโฮวาเป็นจริงเสมอ (อสย. 55:10, 11) ทุกวันนี้ อุทยานโดยนัยได้เกิดขึ้นจริงแล้ว พระยะโฮวาได้สร้างครอบครัวผู้นมัสการของพระองค์ที่พิเศษมาก เมื่อเราได้อยู่ในครอบครัวนี้เรารู้สึกสงบสุขและมั่นคงปลอดภัยแม้จะอยู่ในโลกที่มีแต่ความรุนแรง (สด. 72:7) เราก็เลยอยากช่วยคนให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ให้เข้ามาอยู่ในครอบครัวนี้ด้วยกัน เราจะทำแบบนั้นได้โดยทุ่มเทกับงานสอนคนให้เป็นสาวก—มธ. 28:19, 20 ห24.04 น. 23 ว. 13, 15
วันพุธที่ 28 ตุลาคม
เรามีจิตใจอย่างพระคริสต์—1 คร. 2:16
พระเยซูรักพระยะโฮวาสุดความคิดของท่าน ท่านรู้ว่าพระยะโฮวาต้องการให้ท่านทำอะไร และท่านก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำตามที่พระองค์ต้องการแม้นั่นจะทำให้ท่านต้องเจอความทุกข์ลำบากหลายอย่าง การที่พระเยซูจดจ่ออยู่ที่การทำตามความประสงค์ของพระยะโฮวาเลยทำให้ท่านไม่ยอมให้อะไรมาสำคัญกว่าเรื่องนี้ เปโตรกับพวกอัครสาวกมีสิทธิพิเศษที่ได้อยู่กับพระเยซูและได้เรียนรู้ว่าพระเยซูคิดยังไง ตอนที่เปโตรเขียนจดหมายฉบับแรกที่ได้รับการดลใจ เขาสนับสนุนคริสเตียนให้เตรียมตัวให้พร้อมและให้คิดอย่างเดียวกับพระเยซู (1 ปต. 4:1) คำภาษาเดิมที่แปลว่า “เตรียมตัวให้พร้อม” เป็นคำทางทหารซึ่งหมายถึงให้เตรียมติดอาวุธพร้อมจะต่อสู้ ดังนั้น ถ้าคริสเตียนฝึกที่จะคิดอย่างเดียวกับพระเยซู พวกเขาก็กำลังเตรียมติดอาวุธพร้อมที่จะต่อสู้กับแนวโน้มของบาปที่มีในตัวเอง และต่อสู้กับน้ำใจของโลกที่ปกครองโดยซาตาน—2 คร. 10:3-5; อฟ. 6:12 ห25.03 น. 8-9 ว. 1-3
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม
ความคิดในใจคนเป็นเหมือนน้ำลึกแต่คนที่มีความเข้าใจจะตักขึ้นมาได้—สภษ. 20:5
คุณควรคุยกันเรื่องอะไรในช่วงที่เป็นแฟนกัน? ก่อนที่คุณจะรู้สึกชอบเขามาก ๆ คุณคงอยากคุยกันเกี่ยวกับเรื่องสำคัญ ๆ ก่อน อย่างเช่น เป้าหมายของแต่ละคน แล้วคุณจะรู้ได้ยังไงว่าแฟนของคุณเป็นคนยังไงจริง ๆ? วิธีที่ดีที่สุดก็คือเปิดใจคุยกันตรง ๆ ให้ถามและตั้งใจฟังกันจริง ๆ (ยก. 1:19) คุณอาจต้องสร้างโอกาสในการคุยกันด้วย เช่น ไปกินข้าวด้วยกัน เดินเล่นในที่สาธารณะด้วยกัน หรือไปประกาศด้วยกัน นอกจากนั้น คุณยังสามารถรู้จักกันดีขึ้นได้โดยใช้เวลากับเพื่อน ๆ และครอบครัว ไม่เพียงเท่านั้นคุณอาจจะวางแผนทำสิ่งที่ต่างออกไปจากเดิมเพื่อจะดูว่าแฟนของคุณเป็นคนยังไง เช่น ทำกิจกรรมที่หลากหลายกับพี่น้องหลาย ๆ คนที่แตกต่างกัน ห24.05 น. 27-28 ว. 6-7
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม
ให้พวกคุณเลียนแบบพระเจ้าอย่างลูกที่รักของพระองค์—อฟ. 5:1
อีกไม่นาน เราจะเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดและเราต้องวางใจพระยะโฮวามากกว่าที่ผ่าน ๆ มา เรื่องราวของผู้รับใช้พระยะโฮวาทั้งในสมัยคัมภีร์ไบเบิลและสมัยปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าพระยะโฮวาเป็นหินที่แข็งแกร่งสำหรับพวกเขายังไง ลองคิดให้มากขึ้นว่าเรื่องราวเหล่านี้มีความหมายยังไงสำหรับคุณ การทำแบบนี้จะช่วยให้คุณทำให้พระยะโฮวาเป็นหินที่แข็งแกร่งสำหรับคุณ นอกจากนั้น เราก็จะช่วยพี่น้องให้เข้มแข็งได้ ตัวอย่างเช่น พระเยซูตั้งชื่อให้ซีโมนว่า “เคฟาส” (แปลเป็นภาษากรีกว่า “เปโตร”) ซึ่งหมายความว่า “ก้อนหิน” (ยน. 1:42) การที่พระเยซูตั้งชื่อให้เปโตรแบบนี้ทำให้เห็นว่าเปโตรจะมีส่วนสำคัญในการให้กำลังใจพี่น้องและช่วยประชาคมให้เข้มแข็งและมั่นคง มีการพูดถึงผู้ดูแลในประชาคมว่าเป็นเหมือนกับ “เงาของหินผา” นั่นหมายความว่าพวกเขาจะปกป้องพี่น้องในประชาคม (อสย. 32:2) แต่แน่นอนว่าเราทุกคนสามารถให้กำลังใจพี่น้องในประชาคมได้ถ้าเราเลียนแบบคุณลักษณะของพระยะโฮวาที่เป็นเหมือนกับหินที่แข็งแกร่ง ห24.06 น. 28 ว. 10-11
วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม
พระยะโฮวา . . . เป็นพระเจ้าที่ต้องการให้นมัสการพระองค์เพียงผู้เดียว—ฉธบ. 4:24
กษัตริย์อิสราเอลที่ดีในสายตาของพระยะโฮวาต้องเป็นคนที่สนับสนุนการนมัสการแท้ กษัตริย์ที่ไม่ดีส่วนใหญ่ในสายตาของพระยะโฮวาไม่ทำตามกฎหมายของพระองค์และไปนมัสการพระเท็จ (1 พก. 21:25, 26; 2 พศ. 12:1) ทำไมพระยะโฮวาถึงมองว่าเรื่องนี้สำคัญมาก? เหตุผลหนึ่งก็คือเพราะพระองค์คาดหมายให้กษัตริย์นำหน้าประชาชนในการนมัสการแท้ นอกจากนั้น การนมัสการพระเท็จทำให้ผู้คนทำบาปร้ายแรงและทำสิ่งที่ไม่ดีต่อกัน (ฮชย. 4:1, 2) เนื่องจากกษัตริย์และชาวอิสราเอลทั้งชาติเป็นของพระยะโฮวา การที่พวกเขาไปนมัสการพระเท็จจึงเป็นเหมือนกับการเล่นชู้และไม่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ (ยรม. 3:8, 9) คนที่เล่นชู้ทรยศหักหลังและไม่ซื่อสัตย์ต่อคู่ของตัวเองและทำให้คู่ของเขาเจ็บปวดมาก คล้ายกันผู้รับใช้ที่อุทิศตัวให้กับพระยะโฮวาที่ไปนมัสการพระเท็จก็ทรยศและไม่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ ซึ่งทำให้พระองค์เจ็บปวดมาก—ฉธบ. 4:23, 24 ห24.07 น. 22-23 ว. 12-15