พฤศจิกายน
วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน
เราจะไม่โกรธเจ้าตลอดไป—ยรม. 3:12
ผู้ดูแลจะแสดงความเมตตาเหมือนพระยะโฮวาตอนที่ปฏิบัติกับคนที่ถูกตัดออกจากประชาคม พระยะโฮวาไม่ได้รอให้ชาวอิสราเอลกลับใจก่อนแล้วค่อยช่วยพวกเขา แต่พระองค์เป็นฝ่ายริเริ่มช่วยชาวอิสราเอลตั้งแต่ก่อนที่พวกเขาจะแสดงให้เห็นว่ากลับใจด้วยซ้ำ พระยะโฮวาใช้ตัวอย่างของผู้พยากรณ์โฮเชยาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเมตตาของพระองค์ ถึงแม้ภรรยาของโฮเชยายังทำผิดร้ายแรงอยู่ แต่พระยะโฮวาก็บอกเขาให้ไปหาเธอเพื่อชวนเธอกลับมาอยู่กับเขาอีกครั้ง (ฮชย. 3:1; มลค. 3:7) ผู้ดูแลจะเลียนแบบพระยะโฮวาโดยแสดงออกจากใจจริงว่าอยากให้คนทำผิดกลับใจและกลับเข้ามาในประชาคม พวกเขาจะไม่ทำให้คนนั้นรู้สึกว่ายากเกินไปที่จะกลับมา ในตัวอย่างเปรียบเทียบของพระเยซูเรื่องลูกที่หลงหาย พ่อรีบ “วิ่งเข้าไปหา ทั้งกอดและจูบ [ลูกชาย]” (ลก. 15:20) ขอสังเกตว่าพ่อไม่ได้รอให้ลูกชายกลับมาขอโทษก่อน แต่พ่อเป็นฝ่ายริเริ่มไปหาลูก ห24.08 น. 28 ว. 7-8
วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน
ถ้าใครในพวกคุณขาดสติปัญญา ให้เขาพยายามขอจากพระเจ้าต่อ ๆ ไป . . . เพราะพระเจ้าเต็มใจให้ทุกคนอย่างใจกว้างและไม่เคยต่อว่า—ยก. 1:5
อย่างที่บอกไว้ในข้อคัมภีร์วันนี้ พระยะโฮวาไม่ได้หวงสติปัญญาของพระองค์ แต่พร้อมจะให้กับเราอย่างใจกว้าง นอกจากนั้น เราสังเกตด้วยว่าเมื่อพระยะโฮวาให้สติปัญญา พระองค์ “ไม่เคยต่อว่า” เรา หรือทำให้เรารู้สึกแย่ที่ต้องขอการชี้นำจากพระองค์ แทนที่จะเป็นอย่างนั้น พระองค์กระตุ้นให้เราขอการชี้นำจากพระองค์ (สภษ. 2:1-6) แล้วเราล่ะ? เราจะเลียนแบบพระยะโฮวาในเรื่องนี้ได้ยังไง? (สด. 32:8) ผู้รับใช้ของพระยะโฮวามีหลายโอกาสที่พวกเขาจะแบ่งปันสิ่งที่พวกเขาได้เรียนมาให้กับคนอื่น ตัวอย่างเช่น เราสามารถฝึกพี่น้องใหม่ ๆ ให้ประกาศเก่งขึ้นได้ ผู้ดูแลก็ฝึกผู้ช่วยงานรับใช้และพี่น้องชายที่รับบัพติศมาแล้วให้รู้วิธีที่จะทำงานมอบหมายในประชาคม นอกจากนั้น พี่น้องที่มีความสามารถในด้านก่อสร้างหรืองานซ่อมบำรุงก็สามารถฝึกพี่น้องที่มีประสบการณ์น้อยกว่าให้ช่วยดูแลอาคารต่าง ๆ ขององค์การได้ ห24.09 น. 28-29 ว. 11-12
วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน
พวกคุณเป็นที่รักของเรามาก—1 ธส. 2:8
พี่น้องชายทั้งหลาย เพื่อคุณจะมีคุณสมบัติเป็นผู้ดูแลได้ คุณต้อง “ไม่มีที่ติ” นี่หมายความว่าคุณต้องมีชื่อเสียงที่ดีในประชาคมเพราะคุณประพฤติตัวดีและไม่ควรมีใครมีเหตุผลจะมาตำหนิคุณได้ (1 ทธ. 3:2) นอกจากนี้ คุณต้อง “มีชื่อเสียงดีในหมู่คนภายนอก” แน่นอนว่าคนที่ไม่ได้รับใช้พระยะโฮวาอาจพูดไม่ดีเกี่ยวกับความเชื่อของคุณ แต่ไม่ควรมีใครมีเหตุผลที่จะสงสัยว่าคุณเป็นคนไม่ซื่อสัตย์หรือทำไม่ดี (ดนล. 6:4, 5) ขอให้ถามตัวเองว่า ‘ผมมีชื่อเสียงที่ดีทั้งในและนอกประชาคมไหม?’ ถ้าคุณ “รักความดี” คุณก็จะมองหาข้อดีในตัวของคนอื่นและชมเชยพวกเขา (ทต. 1:8) คุณยังมีความสุขที่ได้ทำดีเพื่อคนอื่นและทำมากกว่าที่พวกเขาขอด้วยซ้ำ ทำไมคุณลักษณะนี้ถึงสำคัญสำหรับผู้ดูแล? ก็เพราะพวกเขายินดีที่จะใช้เวลาของตัวเองในการเยี่ยมบำรุงเลี้ยงพี่น้องและทำงานอีกหลายอย่างในประชาคม (1 ปต. 5:1-3) แม้พวกเขาจะมีงานให้ทำเยอะ แต่ก็มีความสุขมากที่ได้รับใช้คนอื่น—กจ. 20:35 ห24.11 น. 20-21 ว. 3-5
วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน
การให้ทำให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ—กจ. 20:35
ผู้ช่วยงานรับใช้ทำงานสำคัญหลายอย่างในประชาคม อัครสาวกเปาโลเห็นค่าพี่น้องเหล่านี้มาก เช่น ตอนที่เขาเขียนจดหมายถึงคริสเตียนในเมืองฟีลิปปี เขากล่าวคำทักทายเป็นพิเศษถึงผู้ช่วยงานรับใช้และผู้ดูแล (ฟป. 1:1) ไม่ว่าพี่น้องชายที่รับบัพติศมาแล้วจะอายุมากหรืออายุน้อย พวกเขาก็มีความสุขที่ได้เป็นผู้ช่วยงานรับใช้ เช่น เดเวนได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยงานรับใช้ตอนอายุ 18 ส่วนลูอิสได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยงานรับใช้ตอนอายุประมาณ 50 ลูอิสพูดถึงความรู้สึกของเขาซึ่งคงจะเหมือนกับความรู้สึกของผู้ช่วยงานรับใช้คนอื่น ๆ ว่า “ผมรู้สึกเป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ ที่ได้ทำงานเป็นผู้ช่วยงานรับใช้และได้ทำงานเพื่อพี่น้อง พี่น้องในประชาคมแสดงความรักกับผมมาตลอด ตอนนี้ผมดีใจที่ได้รับใช้พวกเขามากขึ้น” ถ้าคุณเป็นพี่น้องชายพี่รับบัพติศมาแล้วและยังไม่ได้เป็นผู้ช่วยงานรับใช้ คุณจะตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้ช่วยงานรับใช้ได้ไหม? ห24.11 น. 14 ว. 1-3
วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน
พระยะโฮวาพระเจ้า โปรดคิดถึงการกระทำที่ซื่อสัตย์ของผม ผม … ทำสิ่งที่พระองค์เห็นว่าถูกต้องมาตลอด—2 พก. 20:3
ตอนที่กษัตริย์เฮเซคียาห์อายุ 39 เขาป่วยหนักใกล้จะตาย ผู้พยากรณ์อิสยาห์มาหาเขาเพื่อนำข่าวจากพระยะโฮวามาบอกว่าเขาจะตายแน่ (2 พก. 20:1) ดูเหมือนไม่มีหวังแล้วสำหรับเฮเซคียาห์ เขาเลยเสียใจร้องไห้อย่างขมขื่นและอธิษฐานขอให้พระยะโฮวาช่วย พระยะโฮวาสงสารมากที่เห็นเฮเซคียาห์ร้องไห้ พระองค์เลยส่งผู้พยากรณ์อิสยาห์กลับไปบอกเขาว่า “เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าแล้ว เราได้เห็นน้ำตาของเจ้าแล้ว เราจะรักษาเจ้า” พระยะโฮวาสัญญาว่าจะยืดชีวิตของเฮเซคียาห์และช่วยอิสราเอลให้พ้นจากพวกอัสซีเรีย (2 พก. 20:4-6) คุณกำลังป่วยเป็นโรคร้ายแรงที่ไม่มีทางรักษาไหม? ให้บอกพระยะโฮวาว่าคุณรู้สึกยังไงแม้คุณอาจถึงกับร้องไห้ตอนที่ระบายให้พระองค์ฟัง คัมภีร์ไบเบิลรับรองกับเราว่า “พระองค์เป็นพ่อที่มีความเมตตากรุณาและเป็นพระเจ้าที่คอยให้กำลังใจในทุกสถานการณ์” พระองค์จะให้กำลังใจเราตอนที่เจอความยากลำบาก—2 คร. 1:3, 4 ห24.12 น. 24 ว. 15-17
วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน
ผมมีความหวังในพระเจ้าเหมือนที่พวกเขามี ความหวังของผมก็คือทั้งคนดีและคนชั่วจะฟื้นขึ้นจากตาย—กจ. 24:15
ในโลกใหม่ เราจะมีความสุขมากที่ได้ต้อนรับคนที่ฟื้นขึ้นจากตาย เราจะได้รู้จักพระยะโฮวามากขึ้นอีกจากสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์สร้าง (สด. 104:24; อสย. 11:9) และที่ดีที่สุดก็คือ เราจะไม่เป็นคนบาปอีกต่อไป เราจะสามารถนมัสการพระยะโฮวาได้โดยไม่ต้องขอการอภัยบาปอีก คุณจะยอมแลกพรดี ๆ มากมายเหล่านี้กับความ “สนุกสนานชั่วคราวกับการทำบาป” ไหม? (ฮบ. 11:25) คุณจะไม่ยอมแน่ ๆ! พรเหล่านี้คุ้มค่ากับการที่เราต้องเสียสละอะไรก็ตามในตอนนี้ จำไว้ว่าโลกที่เป็นสวนอุทยานไม่ใช่เป็นแค่ความหวัง แต่มันจะกลายเป็นจริงแน่นอน มันคือชีวิตแท้ของเราในอนาคต สิ่งนี้จะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าพระยะโฮวาไม่ได้รักเรามากพอจนพระองค์ยอมสละลูกชายที่รักของพระองค์ ห25.01 น. 29 ว. 12
วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน
เจ้าคิดว่าพระยะโฮวาทำไม่ได้หรือ?—กดว. 11:23
หนังสือฮีบรูมีรายชื่อคนที่เป็นตัวอย่างในเรื่องความเชื่อ และโมเสสก็เป็นหนึ่งในนั้น (ฮบ. 3:2-5; 11:23-25) โมเสสไม่ผิดหวังเลยเพราะพระยะโฮวาได้จัดเตรียมอาหารและน้ำอย่างอัศจรรย์เพื่อดูแลคนของพระองค์ในที่กันดารจริง ๆ (อพย. 15:22-25; สด. 78:23-25) ถึงแม้ว่าโมเสสมีความเชื่อเข้มแข็ง แต่ประมาณ 1 ปีหลังจากที่พระยะโฮวาช่วยชาติอิสราเอลให้รอดพ้นจากกองทัพอียิปต์อย่างอัศจรรย์ โมเสสก็เริ่มสงสัยว่าพระยะโฮวาจะหาเนื้อมาให้ประชาชนของพระองค์ได้จริง ๆ ไหม โมเสสนึกภาพไม่ออกว่าพระยะโฮวาจะไปหาเนื้อจากไหนมาให้ประชาชนเป็นล้าน ๆ ที่อยู่ในที่กันดาร พระยะโฮวาก็เลยถามโมเสสกลับว่า “เจ้าคิดว่าพระยะโฮวาทำไม่ได้หรือ?” (กดว. 11:21-23) ดังนั้น การที่พระยะโฮวาพูดแบบนี้จึงเหมือนกับพระองค์กำลังถามโมเสสว่า ‘เจ้าคิดว่าเราไม่มีพลังมากพอที่จะทำสิ่งที่เราบอกว่าจะทำเหรอ?’ ห25.03 น. 26 ว. 1-2
วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน
พระเจ้าไม่ได้ยกเว้นการลงโทษโลกสมัยโบราณ—2 ปต. 2:5
เราควรเอาเหตุการณ์น้ำท่วมโลกมาเป็นภาพล่วงหน้าถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไหม? ไม่ เพราะไม่มีตรงไหนในคัมภีร์ไบเบิลที่บอกชัด ๆ แบบนั้น พระเยซูเปรียบ “สมัยของโนอาห์” ว่าคล้ายกันกับช่วงการประทับของท่าน แต่พระเยซูไม่เคยเทียบว่าแต่ละคนหรือแต่ละเหตุการณ์ในสมัยของโนอาห์หมายถึงอะไรบางอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น เรื่องการปิดประตูเรือใหญ่ (มธ. 24:37-39) ตอนที่โนอาห์ได้ยินคำเตือนจากพระยะโฮวา เขาทำยังไง? เขาแสดงความเชื่อโดยการลงมือสร้างเรือใหญ่ (ฮบ. 11:7; 1 ปต. 3:20) เหมือนกัน คนที่ได้ยินข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าก็ต้องลงมือทำบางอย่างเพื่อแสดงถึงความเชื่อด้วย (กจ. 3:17-20) เปโตรเรียกโนอาห์ว่า “ผู้ประกาศแนวทางที่ถูกต้องของพระองค์” ทุกวันนี้เราเข้าร่วมในการประกาศเพื่อจะสอนข่าวดีกับทุกคนทั่วโลกให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แต่ไม่ว่าเราจะพยายามมากขนาดไหน เราก็ไม่มีทางที่จะประกาศกับทุกคนบนโลกได้ก่อนจุดจบจะมาถึง ห24.05 น. 9-10 ว. 3-5
วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน
เขา . . . ให้เกียรติคนที่เกรงกลัวพระยะโฮวา—สด. 15:4
เราควรพยายามหาวิธีทำดีและแสดงความนับถือต่อเพื่อนของพระยะโฮวา (รม. 12:10) วิธีหนึ่งที่เราจะทำอย่างนั้นได้อยู่ในสดุดี 15:4 ซึ่งบอกว่าแขกในเต็นท์ของพระยะโฮวาจะ “ไม่ผิดสัญญาแม้จะต้องเสียผลประโยชน์” ถ้าเราทำผิดสัญญาคนอื่นจะเสียใจแน่ ๆ (มธ. 5:37) ตัวอย่างเช่น พระยะโฮวาคาดหมายให้สามีภรรยาทำตามคำปฏิญาณที่ให้ไว้ตอนที่พวกเขาแต่งงานกัน นอกจากนั้น พระยะโฮวาจะดีใจด้วยที่พ่อแม่พยายามเต็มที่ที่จะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับลูก ๆ และความรักที่เรามีต่อพระเจ้าและคนอื่นจะกระตุ้นให้เราทำสุดความสามารถเพื่อจะรักษาสัญญา อีกวิธีหนึ่งที่เราจะให้เกียรติเพื่อนของพระยะโฮวาก็คือโดยการมีน้ำใจต้อนรับแขกและใจกว้าง (รม. 12:13) เมื่อเราใช้เวลากับพี่น้อง เราก็จะสนิทกันมากขึ้นและสนิทกับพระยะโฮวาด้วย ที่สำคัญ เมื่อเรามีน้ำใจต้อนรับแขก เราก็กำลังเลียนแบบพระยะโฮวา ห24.06 น. 12 ว. 15-16
วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน
มนุษย์เป็นใครกันพระองค์จึงคิดถึงเขา—สด. 8:4
พระยะโฮวาเปิดเผยความจริงให้กับคนถ่อม (มธ. 11:25) เราได้ถ่อมตัวยอมรับความช่วยเหลือเพื่อจะเรียนรู้ความจริงมาแล้ว (กจ. 8:30, 31) ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องระวังที่จะไม่กลายเป็นคนหยิ่ง การเป็นคนหยิ่งอาจทำให้เราเริ่มคิดว่าความคิดของตัวเองสำคัญพอ ๆ กับหลักการในคัมภีร์ไบเบิลและคำแนะนำที่มาจากองค์การของพระยะโฮวา เพื่อเราจะเป็นคนถ่อมอยู่เสมอ ต้องจำไว้ว่าตัวเราเองต่ำต้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับพระยะโฮวา (สด. 8:3, 4) เราสามารถอธิษฐานขอพระยะโฮวาช่วยให้เราเป็นคนถ่อมและยอมรับการสอนจากพระองค์ ถ้าเราถ่อมเราจะถือว่าความคิดของพระยะโฮวาสำคัญกว่าความคิดของเรา ซึ่งคัมภีร์ไบเบิลและองค์การของพระองค์ช่วยให้เรารู้ว่าพระองค์คิดยังไง ดังนั้น ตอนที่คุณอ่านคัมภีร์ไบเบิล ลองหาจุดที่แสดงให้เห็นว่าพระยะโฮวารักคนถ่อมและเกลียดคนหยิ่งหรือทะนงตัว นอกจากนั้น ขอให้คุณพยายามเป็นพิเศษที่จะถ่อมตัวอยู่เสมอตอนได้รับหน้าที่มอบหมายที่ทำให้คุณมีอำนาจมากขึ้นหรือทำหน้าที่โดดเด่นในองค์การ ห24.07 น. 10 ว. 8-9
วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน
คนจำนวนน้อยจะเพิ่มเป็นจำนวนพัน คนตัวเล็กจะกลายเป็นชาติใหญ่ เรายะโฮวาจะเร่งให้สิ่งนี้เกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสม—อสย. 60:22
พระเยซูแต่งตั้งพี่น้องชายผู้ถูกเจิมกลุ่มเล็ก ๆ ตั้งแต่ปี 1919 เพื่อจัดระเบียบการประกาศและแจกจ่ายอาหารหรือความรู้ที่เสริมความเชื่อให้คนของพระเจ้า (ลก. 12:42) เห็นได้ชัดเลยว่าพระยะโฮวาอวยพรงานของพวกเขาจริง ๆ (อสย. 65:13, 14) ถ้าทุกวันนี้ไม่มีการจัดระบบระเบียบอะไรเลย เราก็ไม่มีทางทำงานที่พระเยซูมอบหมายให้เราทำได้สำเร็จ (มธ. 28:19, 20) ตัวอย่างเช่น ถ้าไม่มีการจัดระเบียบเขตประกาศ ทุกคนคิดอยากจะประกาศที่ไหนก็ไป เขตประกาศบางที่ก็จะมีคนประกาศซ้ำแล้วซ้ำอีก หรือบางที่ก็อาจจะไม่มีคนประกาศเลย คุณคิดว่าการที่เราได้รับการจัดระเบียบแบบนี้ยังมีประโยชน์อะไรอีก? สิ่งที่พระเยซูทำตอนอยู่บนโลกทำให้เรารู้ว่าท่านจะจัดระเบียบพวกเรายังไงในทุกวันนี้ ห24.04 น. 8-9 ว. 2-4
วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน
ถ้าเจ้าเปลี่ยนใจมาทำดี เราจะพอใจเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่เปลี่ยน บาปก็จะซุ่มคอยตะครุบเจ้าอยู่ที่ประตู—ปฐก. 4:7
คาอินเป็นลูกชายคนแรกของอาดัมกับเอวา เขาได้รับบาปมาจากพ่อแม่ซึ่งทำให้เขามีแนวโน้มที่จะทำผิด แต่ไม่เพียงเท่านั้น คัมภีร์ไบเบิลยังบอกด้วยว่า “การกระทำของเขาชั่ว” (1 ยน. 3:12) นี่อาจเป็นเหตุผลที่พระยะโฮวา “ไม่พอใจคาอินกับของถวายของเขา” แทนที่คาอินจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เขากลับ “โกรธมากหน้าตาบึ้งตึง” แล้วพระยะโฮวาทำยังไง? พระองค์คุยกับเขาโดยตรง (ปฐก. 4:3-7) ขอสังเกตว่าพระยะโฮวาหาเหตุผลอย่างกรุณากับคาอินว่าถ้าเขาเปลี่ยนใจมาทำดี พระองค์จะอวยพรเขา พระยะโฮวายังเตือนคาอินด้วยว่าถ้าเขาโกรธไม่หาย เขาจะทำบาปซึ่งจะส่งผลร้ายแรงตามมา น่าเศร้าที่คาอินไม่ฟังพระยะโฮวา เขาไม่ได้ให้พระองค์ช่วยเขาให้กลับใจ หลังจากที่คาอินไม่ฟังพระยะโฮวา พระองค์หยุดช่วยคนบาปคนอื่น ๆ ให้กลับใจไหม? ไม่เลย ห24.08 น. 10 ว. 8
วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน
ขอให้คุณเลือกเอาชีวิต—ฉธบ. 30:19
โมเสสบอกกับชาวอิสราเอลว่าพวกเขามีความหวังที่ดีในอนาคต พระยะโฮวาจะอวยพรพวกเขาให้มีชีวิตยืนยาวในแผ่นดินที่พระองค์สัญญา แผ่นดินนั้นสวยงามมากและอุดมสมบูรณ์ โมเสสบอกกับชาวอิสราเอลว่า “แผ่นดินนั้นมีเมืองที่ใหญ่โตและสวยงามที่คุณไม่ได้สร้าง มีบ้านเรือนที่เต็มไปด้วยของมีค่าทุกอย่างซึ่งคุณไม่ได้หามาเอง มีบ่อเก็บน้ำซึ่งคุณไม่ได้ขุด มีสวนองุ่นและต้นมะกอกซึ่งคุณไม่ได้ปลูก” (ฉธบ. 6:10, 11) โมเสสยังให้คำเตือนกับชาวอิสราเอลด้วย เขาบอกว่าถ้าชาวอิสราเอลอยากอยู่ในแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญาต่อไปเรื่อย ๆ พวกเขาต้องเชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ โมเสสกระตุ้นพวกเขาให้ “เลือกเอาชีวิต” โดยการฟังพระยะโฮวาและ “ซื่อสัตย์ต่อพระองค์เสมอ” (ฉธบ. 30:20) แต่ชาวอิสราเอลไม่เชื่อฟังพระยะโฮวา ในที่สุดพระองค์ก็เลยปล่อยให้ชาวอัสซีเรียเอาชนะอิสราเอล 10 ตระกูลและต่อมาชาวบาบิโลนก็เอาชนะอีก 2 ตระกูลและจับพวกเขาไปเป็นเชลย—2 พก. 17:6-8, 13, 14; 2 พศ. 36:15-17, 20 ห24.11 น. 9 ว. 5-6
วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน
ไม่มีใครจะมาหาผมได้ นอกจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อที่ใช้ผมมาจะชักนำเขา—ยน. 6:44
ทุกวันนี้หลายคนที่อ้างว่าเป็นคริสเตียนคิดว่าแค่ “เชื่อใน [พระเยซู]” และมองว่าท่านเป็นผู้ช่วยให้รอดก็พอแล้ว (ยน. 6:29, ฉบับคิงเจมส์) ที่จริง หลายคนในกาลิลีที่เคยติดตามท่านกลับทิ้งท่านไปด้วยซ้ำ ทำไมพวกเขาถึงทำแบบนั้น? ฝูงชนเหล่านั้นยังติดตามพระเยซูตราบใดที่ท่านให้สิ่งที่พวกเขาต้องการ เช่น ได้รับการรักษาโรคอย่างอัศจรรย์ ได้กินขนมปัง และได้ฟังสิ่งที่พวกเขาอยากได้ยิน แต่พระเยซูแสดงให้เห็นว่าพวกเขาต้องทำอะไรมากกว่านั้นเพื่อจะได้เป็นสาวกแท้ของท่าน ท่านไม่ได้ลงมาบนโลกเพื่อจะตอบสนองความต้องการของมนุษย์ ดังนั้น เพื่อจะเป็นสาวกแท้ของพระเยซูได้ พวกเขาต้องตอบรับคำเชิญของท่านที่ให้ “มาหา” ท่านโดยยอมรับและเชื่อฟังทุกอย่างที่ท่านสอน—ยน. 5:40 ห24.12 น. 12 ว. 12-13
วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน
ส่วนสามี ก็ให้รักภรรยาเสมอเหมือนที่พระคริสต์รักประชาคมและสละชีวิตเพื่อพวกเขา—อฟ. 5:25
อะไรจะช่วยสามีให้เลิกทำไม่ดีและไม่ให้เกียรติภรรยา? สิ่งที่จะช่วยได้ก็คือการเลียนแบบพระเยซู ถึงแม้พระเยซูไม่เคยแต่งงาน แต่วิธีที่ท่านปฏิบัติกับสาวกก็เป็นการวางตัวอย่างที่ดีให้กับสามีว่าเขาควรปฏิบัติกับภรรยายังไง ให้เรามาดูกันว่าสามีจะเรียนอะไรได้จากวิธีที่พระเยซูพูดและปฏิบัติกับพวกสาวก พระเยซูปฏิบัติกับสาวกของท่านในแบบที่อ่อนโยนและให้เกียรติเสมอ ท่านไม่เคยดุด่าหรือข่มพวกเขาเลย ท่านก็ไม่ได้รู้สึกว่าจำเป็นต้องแสดงพลังอำนาจเพื่อพิสูจน์ว่าใครเป็นใหญ่ แต่ท่านถ่อมตัวลงและยินดีรับใช้พวกเขา (ยน. 13:12-17) ท่านบอกกับสาวกว่า “เรียนจากผม แล้วคุณจะสดชื่น เพราะผมเป็นคนอ่อนโยนและถ่อมตัว” (มธ. 11:28-30) จากข้อนี้เราเห็นเลยว่าพระเยซูเป็นคนอ่อนโยน คนอ่อนโยนไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่เขาเป็นคนเข้มแข็งเพราะสามารถควบคุมตัวเองได้ และเวลาที่คนอ่อนโยนถูกยั่วยุ เขาก็จะใจเย็นและควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้เสมอ ห25.01 น. 10 ว. 10-11
วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน
ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ให้ฝากเรื่องนั้นไว้กับพระยะโฮวา—สภษ. 16:3
ยิ่งจุดจบของโลกชั่วใกล้จะมาถึงมากเท่าไหร่ เราก็คาดหมายได้เลยว่าเศรษฐกิจทั่วโลกจะแย่ลงมากเท่านั้น ปัญหาเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง สงคราม ภัยธรรมชาติ หรือโรคระบาด อาจทำให้เรามีปัญหาเรื่องการเงิน ทำให้เราตกงาน สูญเสียทรัพย์สิน หรือแม้แต่สูญเสียบ้านของเรา แล้วอะไรจะช่วยให้เราตัดสินใจในแบบที่แสดงให้เห็นว่าเราไว้วางใจพระยะโฮวา? สิ่งหนึ่งที่จะช่วยคุณได้มากก็คือการอธิษฐานระบายความกังวลกับพระยะโฮวา ให้อธิษฐานขอสติปัญญาจากพระยะโฮวาเพื่อจะช่วยให้คุณตัดสินใจในแบบที่ฉลาด และช่วยให้คุณมีความสงบใจเพื่อจะไม่ “กังวล” กับปัญหาของตัวเองมากเกินไป (ลก. 12:29-31) นอกจากนั้น ให้คุณอธิษฐานอ้อนวอนพระยะโฮวาช่วยให้คุณพอใจกับสิ่งที่มีอยู่ (1 ทธ. 6:7, 8) คุณยังสามารถค้นคว้าคำแนะนำขององค์การที่ช่วยให้รับมือกับปัญหาเรื่องเงินได้ พี่น้องหลายคนได้ประโยชน์จากคำแนะนำเหล่านี้ที่มีอยู่ในเว็บไซต์ jw.org ห25.03 น. 28-29 ว. 10-11
วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน
พระเจ้าทำให้ผมรู้แล้วว่าไม่ควรถือว่าคนอื่นไม่สะอาดไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม—กจ. 10:28
เมื่อถึงเวลาที่คนต่างชาติที่ไม่ได้เข้าสุหนัตจะได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของประชาชนของพระยะโฮวา อัครสาวกเปโตรก็ได้รับมอบหมายให้ประกาศกับโคร์เนลิอัสซึ่งอยู่ในคนต่างชาติกลุ่มแรกที่ได้เข้ามาเป็นคริสเตียน เขาเลยต้องปรับเปลี่ยนความคิดเพื่อจะทำงานมอบหมายนี้ เมื่อเปโตรได้มาเข้าใจว่าพระยะโฮวาคิดยังไงกับคนต่างชาติ เขาก็ยอมปรับเปลี่ยนความคิดของตัวเอง ผลก็คือพอมีคนไปเชิญเปโตรไปประกาศกับโคร์เนลิอัส เขาก็เลย “ไม่ขัดข้อง” ที่จะไปตามคำเชิญ (กจ. 10:28, 29) เปโตรได้ประกาศกับโคร์เนลิอัสกับครอบครัว และทั้งหมดก็รับบัพติศมา (กจ. 10:21-23, 34, 35, 44-48) หลายปีต่อมา เปโตรสนับสนุนให้คริสเตียน “คิดสอดคล้องกัน” (1 ปต. 3:8, เชิงอรรถ) พวกเราที่เป็นคนของพระยะโฮวาจะคิดสอดคล้องกันได้ด้วยการดูว่าพระยะโฮวาคิดยังไงโดยผ่านทางคัมภีร์ไบเบิล ห25.03 น. 9-10 ว. 7-8
วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน
อย่าหลงไปกับคำสอนแปลก ๆ ต่าง ๆ นานา—ฮบ. 13:9
ความคิดของผู้คนในทุกวันนี้ต่างกันมากกับความคิดของพระยะโฮวา และยิ่งเวลาผ่านไปมันก็ยิ่งแย่ลงทุกวัน (สภษ. 17:15) ดังนั้น เราเลยต้องฝึกมองให้ออกว่าอะไรเป็นคำโกหกและปฏิเสธมัน เราต้องไม่ยอมให้พวกคนที่ต่อต้านมาทำให้เราท้อใจและเลิกรับใช้พระยะโฮวา เราเองก็ต้องสนใจคำแนะนำของอัครสาวกเปาโลที่บอกกับคริสเตียนชาวฮีบรูให้ก้าวหน้าไปเพื่อจะได้เป็นผู้ใหญ่ด้วย นี่หมายความว่าเราต้องศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างจริงจังเพื่อจะเข้าใจความคิดของพระยะโฮวามากขึ้นและคิดแบบเดียวกับพระองค์ และเราต้องทำแบบนี้ต่อ ๆ ไปแม้จะอุทิศตัวและรับบัพติศมาแล้ว ไม่ว่าเราจะอยู่ในความจริงมานานแค่ไหน เราทุกคนก็ต้องอ่านและศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ (สด. 1:2) ถ้าเรามีตารางการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ เราจะมีความเชื่อมากขึ้น ซึ่งนี่เป็นคุณลักษณะอย่างหนึ่งที่เปาโลเน้นในจดหมายที่เขาเขียนถึงคริสเตียนชาวฮีบรู—ฮบ. 11:1, 6 ห24.09 น. 10 ว. 7-8
วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน
เข้าไปใกล้ชิดกับพระเจ้า แล้วพระองค์จะเข้ามาใกล้ชิดกับคุณ—ยก. 4:8
ถ้าพระยะโฮวาเป็นจริงสำหรับเรา เราก็จะรู้สึกง่ายขึ้นที่จะรักษาความซื่อสัตย์ต่อพระองค์ เราเห็นเรื่องนี้ได้จากตัวอย่างของโยเซฟ เขาปฏิเสธอย่างหนักแน่นที่จะไม่ทำผิดศีลธรรมทางเพศ พระยะโฮวาเป็นจริงสำหรับเขา และเขาไม่อยากทำให้พระองค์เสียใจ (ปฐก. 39:9) ถ้าเราอยากให้พระยะโฮวาเป็นจริงสำหรับเรา เราก็ต้องจัดเวลาเพื่อที่จะอธิษฐานและศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ถ้าเราทำอย่างนั้นเราก็จะสนิทกับพระองค์มากขึ้น และเมื่อเราสนิทกับพระยะโฮวาเหมือนกับโยเซฟ เราก็จะไม่ทำอะไรที่ทำให้พระองค์เสียใจ คนที่ลืมว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่จะค่อย ๆ ห่างจากพระองค์จนเลิกรับใช้พระองค์ในที่สุด ขอให้ลองคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวอิสราเอล ตอนที่พวกเขาอยู่ในที่กันดาร พวกเขารู้ดีว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่มีตัวตนอยู่จริง แต่พวกเขาเริ่มสงสัยว่าพระองค์จะดูแลพวกเขาไหม (อพย. 17:2, 7) ในที่สุดพวกเขาก็กบฏต่อพระยะโฮวา แน่นอนว่าเราไม่อยากทำตามตัวอย่างที่ไม่ดีของชาวอิสราเอล—ฮบ. 3:12 ห24.06 น. 24 ว. 14-15
วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน
ตาของพระยะโฮวาเฝ้าดูคนทำดี หูของพระองค์ก็คอยฟังเมื่อพวกเขาร้องขอความช่วยเหลือ—สด. 34:15
เรากำลังมีชีวิตอยู่ในช่วงปลายของสมัยสุดท้าย เราคาดหมายได้เลยว่าจะต้องเจอกับเรื่องที่ทำให้เสียน้ำตามากกว่านี้อีก พระยะโฮวาเห็นน้ำตาของเราและพระองค์รู้สึกเสียใจไปกับเราด้วย น้ำตาของเรามีค่าสำหรับพระองค์จริง ๆ ดังนั้น ตอนเจอกับเรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจ เราอยากจะอธิษฐานระบายความรู้สึกกับพระองค์ ไม่แยกตัวจากพี่น้องในประชาคม และพยายามหากำลังใจจากคัมภีร์ไบเบิลเสมอ ถ้าเราอดทนต่อ ๆ ไปอย่างซื่อสัตย์เราก็มั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาจะให้รางวัลเราแน่นอน นี่รวมถึงสัญญาที่พระองค์บอกว่าในอนาคตพระองค์จะเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของเราที่เกิดจากความเสียใจ ถูกทรยศ และความรู้สึกสิ้นหวัง (วว. 21:4) และเมื่อถึงตอนนั้น เราจะไม่ร้องไห้เพราะความทุกข์อีกเลย แต่จะหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจแทน ห24.12 น. 20 ว. 3; น. 25 ว. 19
วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน
พระยะโฮวาพูดว่า . . . “พวกเจ้าเป็นพยานของเรา”—อสย. 43:12
พระยะโฮวาเลือกเราให้เป็นพยานของพระองค์และพระองค์สัญญาว่าจะช่วยเราให้มีความกล้าหาญ (อสย. 43:10,11) ให้เรามาดู 4 วิธีที่แสดงว่าพระยะโฮวาทำแบบนั้น วิธีแรก พระเยซูอยู่กับเราเสมอไม่ว่าเราจะประกาศข่าวดีที่ไหนก็ตาม (มธ. 28:18-20) วิธีที่ 2 พระยะโฮวาส่งทูตสวรรค์ให้มาช่วยเรา (วว. 14:6) วิธีที่ 3 พระยะโฮวาให้พลังบริสุทธิ์กับเราเพื่อช่วยให้เรานึกถึงสิ่งที่เราเคยเรียนตอนที่เราประกาศกับคนอื่น (ยน. 14:25, 26) วิธีที่ 4 พระยะโฮวาให้เรามีพี่น้องเพื่อช่วยเราให้ทำงานนี้ได้ เห็นได้ชัดเลยว่าเรามีสิ่งจำเป็นทุกอย่างที่จะช่วยให้เราประกาศอย่างกล้าหาญต่อ ๆ ไปด้วยความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาและพี่น้องที่รักเรา แต่ถ้าคุณรู้สึกท้อใจเพราะไม่ค่อยเจอใครอยู่บ้านตอนที่คุณไปประกาศ ให้ถามตัวเองว่า ‘คนในเขตอยู่ไหนกันในตอนนี้?’ (กจ. 16:13) ‘พวกเขาไปทำงานหรือออกไปซื้อของอยู่ไหม?’ ถ้าเป็นแบบนั้น คุณอาจจะเจอคนมากกว่าถ้าได้ประกาศในที่สาธารณะ ห24.04 น. 17 ว. 10-11
วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน
ถ้าผู้ชายคนไหนไม่รู้จักนำหน้าครอบครัวตัวเอง เขาจะดูแลประชาคมของพระเจ้าได้อย่างไร—1 ทธ. 3:5
ถ้าคุณเป็นสามีและอยากเป็นผู้ดูแล ครอบครัวของคุณต้องเป็นตัวอย่างที่ดีด้วย ดังนั้น คุณต้อง “นำหน้าครอบครัวของตัวเองอย่างดี” และมีชื่อเสียงว่าเป็นหัวหน้าครอบครัวที่รักและเอาใจใส่ครอบครัว นี่หมายรวมถึงการนำหน้าครอบครัวในเรื่องการนมัสการพระเจ้าด้วย ถ้าคุณเป็นพ่อ คุณต้อง “มีลูกที่เชื่อฟังและประพฤติตัวดี” (1 ทธ. 3:4) คุณควรสอนลูกด้วยความรัก แน่นอนว่าคุณอยากให้ลูกมีความสุข ได้เล่นได้หัวเราะตามประสาเด็กทั่วไป แต่ถ้าคุณสอนลูกอย่างดี ลูกก็จะเป็นเด็กที่เชื่อฟัง มีสัมมาคารวะ และมีความประพฤติที่ดี นอกจากนั้น ให้พยายามเต็มที่ที่จะช่วยลูกให้สนิทกับพระยะโฮวา ใช้ชีวิตตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิล และก้าวหน้าจนรับบัพติศมา ห24.11 น. 22 ว. 10-11
วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน
ไม่มีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือที่คนหนึ่งยอมสละชีวิตเพื่อเพื่อนของเขา—ยน. 15:13
ยิ่งเรายุ่งอยู่กับงานรับใช้พระยะโฮวามากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งได้เห็นความช่วยเหลือจากพระองค์ และนั่นจะทำให้เรามั่นใจในพระองค์มากขึ้น (1 คร. 3:9) อย่าลืมว่าพระยะโฮวาไม่ได้เปรียบเทียบสิ่งที่คุณทำได้กับสิ่งที่คนอื่นทำได้ พระองค์มองที่หัวใจของคุณ สำหรับพระยะโฮวาแล้ว การที่คุณเห็นค่าและรู้สึกขอบคุณสำหรับค่าไถ่ซึ่งเป็นของขวัญที่มีค่ามากก็ทำให้พระองค์พอใจแล้ว (1 ซม. 16:7; มก. 12:41-44) การที่เราสามารถได้รับการอภัยบาป มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระยะโฮวา และมีโอกาสที่จะมีชีวิตตลอดไปเป็นเพราะค่าไถ่ที่พระยะโฮวาให้กับเรา ขอให้เราแสดงความขอบคุณสำหรับความรักที่พระยะโฮวาให้กับเราเสมอ เพราะความรักนี้กระตุ้นพระองค์ให้สิ่งดี ๆ เหล่านี้กับเรา (1 ยน. 4:19) และขอให้เราแสดงความขอบคุณสำหรับสิ่งที่พระเยซูทำด้วย เพราะท่านรักเรามากจนยอมสละชีวิตของท่านเองเพื่อเรา ห25.01 น. 31 ว. 16-18
วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน
ผมไม่สบายใจทั้งวัน—สด. 73:14
ลองดูว่าผู้เขียนหนังสือสดุดีบท 73 รู้สึกยังไง เขาเห็นคนที่ไม่ได้รับใช้พระยะโฮวาดูเหมือนมีร่างกายแข็งแรง ร่ำรวย และไม่กังวลกับอะไรเลย (สด. 73:3-5, 12) เมื่อเขาเห็นคนเหล่านั้นดูเหมือนประสบความสำเร็จก็เลยทำให้เขารู้สึกว่าการรับใช้พระยะโฮวาเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์ ความคิดแบบนี้ทำให้เขา “ไม่สบายใจทั้งวัน” (สด. 73:13, 14) แล้วเขาจัดการกับความรู้สึกนี้ยังไง?ผู้เขียนหนังสือสดุดีเข้าไปในที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระยะโฮวา (สด. 73:16-18) ที่นั่นทำให้เขาได้คิดใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง เขาได้เข้าใจว่าถึงแม้ดูเหมือนบางคนจะมีชีวิตที่สะดวกสบาย แต่พวกเขาก็ไม่มีความหวังในอนาคตเลย พอคิดได้แบบนี้เขาก็สงบใจและมั่นใจว่าการรับใช้พระยะโฮวาเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด ผลก็คือเขาตั้งใจจะรับใช้พระยะโฮวาต่อ ๆ ไป—สด. 73:23-28 ห24.10 น. 27 ว. 11-12
วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน
ขอให้ทุกคนรู้ว่าพระองค์ผู้มีชื่อว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าองค์สูงสุดแต่องค์เดียวที่ปกครองทั่วทั้งโลก—สด. 83:18
พระยะโฮวาได้เลือกเราให้เป็น “พยาน” ของพระองค์ (อสย. 43:10-12) ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้มีจดหมายจากคณะกรรมการปกครองบอกว่า “เกียรติอันยิ่งใหญ่ที่เราจะมีได้คือ การที่เราเป็นคนหนึ่งซึ่งถูกเรียกว่าพยานพระยะโฮวา” ทำไมถึงบอกแบบนั้นได้? ขอลองคิดถึงตัวอย่างต่อไปนี้ ถ้าคุณต้องการให้ใครสักคนมาเป็นพยานให้คุณในศาล คุณคงอยากเลือกคนที่คุณรู้จักและไว้ใจได้ เป็นคนที่มีชื่อเสียงดีซึ่งจะทำให้คำให้การของเขาดูน่าเชื่อถือ เหมือนกันเมื่อพระยะโฮวาเลือกเราให้เป็นพยานของพระองค์ นี่ก็แสดงว่าพระองค์รู้จักเราดี และพระองค์ไว้ใจเราให้เราไปบอกคนอื่นว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว เรารู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้เป็นพยานให้กับพระองค์ และเราจะแสดงให้เห็นได้โดยการใช้ทุกโอกาสที่มีเพื่อทำให้คนอื่นได้รู้จักชื่อของพระองค์ และเราอยากทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อหักล้างคำโกหกที่คนอื่นพูดเกี่ยวกับพระองค์ เมื่อเราทำแบบนี้ เราก็กำลังใช้ชีวิตสมกับเป็นพยานพระยะโฮวา ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ทำให้เราภูมิใจมาก—รม. 10:13-15 ห24.05 น. 18 ว. 13
วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน
พระเยซู . . . รักษาคนป่วยทุกคน—มธ. 8:16
การรับใช้คนอื่นทำให้พระเยซูมีความสุขจริง ๆ ครั้งหนึ่งท่านช่วยคนอื่นโดยการสอนพวกเขาให้รู้ความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า และท่านก็ยังช่วยพวกเขาในด้านอื่น ๆ ด้วย เช่น ท่านจัดเตรียมอาหารให้กับพวกเขาอย่างอัศจรรย์ แล้วท่านก็ให้สาวกไปแจกจ่ายอาหารให้กับผู้คน (มก. 6:41) เมื่อพระเยซูทำอย่างนี้ ท่านก็กำลังสอนสาวกของท่านให้รู้วิธีที่จะรับใช้คนอื่นด้วย นอกจากนั้น ท่านยังทำให้เห็นว่าการทำงานบริการต่าง ๆ เป็นงานที่สำคัญมาก ลองนึกภาพดูสิว่าพวกอัครสาวกจะมีความสุขมากแค่ไหนที่ได้ทำงานร่วมกับพระเยซูในการแจกจ่ายอาหารจน “ทุกคนได้กินจนอิ่ม” (มก. 6:42) แน่นอนว่านี่ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่พระเยซูให้ความจำเป็นของคนอื่นมาก่อนความต้องการของท่านเอง แต่ท่านใช้ทั้งชีวิตของท่านเพื่อรับใช้คนอื่น (มธ. 4:23) พระเยซูมีความสุขมากที่ได้สอนและดูแลคนอื่นให้มีสิ่งจำเป็น ห24.11 น. 16 ว. 10-11
วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน
ในสมัยสุดท้ายจะเป็นช่วงเวลาวิกฤติที่มีแต่ความยุ่งยากลำบาก—2 ทธ. 3:1
ใน “สมัยสุดท้าย” นี้สถานการณ์ยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ ดังนั้น เรามีโอกาสที่จะช่วยให้พี่น้องมีสิ่งจำเป็น นอกจากนี้ เรายังช่วยพี่น้องของเราทางด้านอารมณ์และด้านความเชื่อได้ด้วย วิธีหนึ่งที่เราทำได้ก็คือต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่น เราอยากทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อทำให้พี่น้องรู้สึกได้ถึงความรัก ความสดชื่น และรู้สึกปลอดภัย ผู้ดูแลยังเป็นที่หลบภัยสำหรับพี่น้องตอนที่พวกเขาเจอพายุจริง ๆ และเจอความยากลำบากที่เป็นเหมือนพายุด้วย เช่น ตอนที่พี่น้องเจอภัยพิบัติหรือตอนที่พี่น้องเจ็บป่วยฉุกเฉิน ผู้ดูแลจะรีบจัดการให้ความช่วยเหลือพี่น้องที่ได้รับความเดือดร้อน นอกจากนั้น ผู้ดูแลยังช่วยพี่น้องในเรื่องความเชื่อด้วย พี่น้องจะอยากขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแลแน่ ๆ ถ้าผู้ดูแลเป็นคนอ่อนโยน เห็นใจ และเต็มใจฟังพวกเขา คุณลักษณะเหล่านี้จะช่วยให้พี่น้องรู้ว่าผู้ดูแลรักพวกเขาจริง ๆ และทำให้ง่ายขึ้นที่พี่น้องจะทำตามคำแนะนำของผู้ดูแลที่มาจากคัมภีร์ไบเบิล—1 ธส. 2:7, 8, 11 ห24.06 น. 29 ว. 12-13
วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน
พระองค์ไม่ได้หวงแม้แต่ลูกของพระองค์เอง—รม. 8:32
เราไม่ควรคิดว่าเพราะพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าผู้มีพลังอำนาจสูงสุด พระองค์คงไม่มีความรู้สึกหรอก อย่าลืมว่าเราถูกสร้างตามแบบของพระองค์ ดังนั้น พระยะโฮวาก็ต้องมีความรู้สึกเหมือนกัน คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระยะโฮวารู้สึก “เสียใจ” และ “เศร้าใจ” (สด. 78:40, 41) พระยะโฮวายิ่งเจ็บปวดมากที่เห็นพระเยซูถูกคนชั่วทรมานจนตาย ค่าไถ่สอนเราว่าไม่มีใครรักเรามากเท่ากับพระยะโฮวาอีกแล้ว แม้แต่คนในครอบครัวที่ใกล้ชิดกับเรามากที่สุดหรือเพื่อนที่สนิทที่สุดก็ยังรักเราไม่มากเท่ากับพระองค์ (รม. 8:32, 38, 39) พระยะโฮวารักเรามากกว่าที่เรารักตัวเองซะอีก คุณอยากมีชีวิตตลอดไปไหม? พระยะโฮวาอยากให้คุณมีชีวิตตลอดไปมากกว่าที่คุณอยากซะอีก คุณอยากได้รับการอภัยบาปไหม? พระยะโฮวาอยากจะให้อภัยบาปคุณมากยิ่งกว่านั้นอีก สิ่งที่พระองค์ขอจากคุณก็มีแค่อยากให้คุณเห็นค่าสิ่งที่พระองค์ทำเพื่อคุณ แสดงความเชื่อ และเชื่อฟังพระองค์ เราเห็นชัดเลยว่าค่าไถ่เป็นของขวัญที่มีค่ามากที่แสดงให้เห็นว่าพระยะโฮวารักเราจริง ๆ—ปญจ. 3:11 ห25.01 น. 22-23 ว. 8-9
วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน
คอยตรวจดูให้แน่ใจว่าอะไรที่ผู้เป็นนายพอใจ—อฟ. 5:10
เราสามารถตัดสินใจโดยอาศัยแค่สิ่งที่เราเห็นภายนอกได้ แต่บางครั้งเราไม่สามารถไว้ใจสิ่งที่เรามองเห็นหรือได้ยิน ถ้าเราใช้ชีวิตตามสิ่งที่เห็น มันก็อาจทำให้เราไม่สนใจสิ่งที่พระยะโฮวาต้องการและอาจไม่สนใจทำตามคำแนะนำของพระองค์ด้วย (ปญจ. 11:9; มธ. 24:37-39) แต่เมื่อเราใช้ชีวิตตามความเชื่อ เราจะตัดสินใจในแบบที่ทำให้ “ผู้เป็นนายพอใจ” การทำตามคำแนะนำของพระเจ้าจะทำให้เรามีความสงบใจและมีความสุขแท้ (สด. 16:8, 9; อสย. 48:17, 18) และถ้าเราใช้ชีวิตตามความเชื่อต่อไปเรื่อย ๆ ในที่สุดเราก็จะได้ชีวิตตลอดไป (2 คร. 4:18) เราจะรู้ได้ยังไงว่าเรากำลังใช้ชีวิตตามความเชื่อหรือตามสิ่งที่เห็น? เราต้องถามตัวเองว่า ฉันใช้อะไรในการตัดสินใจ? ฉันตัดสินใจโดยพึ่งแค่สิ่งที่เห็นและได้ยินหรือพึ่งพระยะโฮวากับคำแนะนำของพระองค์? ห25.03 น. 20-21 ว. 3-4
วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน
ขอให้อยู่กันอย่างสงบสุข—1 ธส. 5:13
เราแต่ละคนสามารถทำบางอย่างเพื่อช่วยคนอื่นให้อยากเข้ามาในอุทยานโดยนัย วิธีหนึ่งก็คือการเลียนแบบพระยะโฮวา พระองค์ไม่ได้บังคับผู้คนให้เข้ามาในองค์การของพระองค์ แต่พระองค์ “ชักนำ” พวกเขาให้เข้ามาหาพระองค์ด้วยความอ่อนโยน (ยน. 6:44; ยรม. 31:3) เมื่อคนที่มีหัวใจดีได้เรียนเกี่ยวกับความรักและคุณลักษณะดี ๆ ของพระยะโฮวา พวกเขาก็อยากจะเข้ามาหาพระองค์ด้วยตัวเขาเอง แล้วเราจะช่วยคนอื่นให้เข้ามาในอุทยานโดยนัยได้ยังไง?โดยการแสดงความรักและกรุณาต่อพี่น้อง เมื่อมีคนใหม่มาเข้าร่วมการประชุมกับเรา เราอยากให้พวกเขารู้สึกเหมือนกับคนที่มาเข้าร่วมการประชุมในเมืองโครินธ์สมัยโบราณ คนเหล่านั้นบอกว่า “พระเจ้าอยู่กับพวกคุณจริง ๆ” (1 คร. 14:24, 25; ศคย. 8:23) ดังนั้น เราต้องทำตามคำแนะนำในข้อคัมภีร์ประจำวันนี้ ห24.04 น. 23-24 ว. 16-17