การยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าเรียกร้องอะไรจากเรา?
“เพราะเหตุนี้ จงยอมตัวอยู่ใต้อำนาจพระเจ้า.”—ยาโกโบ 4:7, ล.ม.
1. อาจกล่าวได้อย่างไรในเรื่องลักษณะของพระเจ้าที่เรานมัสการ?
พระยะโฮวาทรงเป็นพระเจ้าองค์ยอดเยี่ยมจริง ๆ! ไม่มีผู้ใดเทียบพระองค์ได้, ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน, พระองค์ทรงเลิศล้ำกว่าใคร ๆ ทั้งสิ้นในทางทั้งหลาย! พระองค์ทรงเป็นพระผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุด, เป็นพระบรมมหิศรแห่งเอกภพ ทรงครองอำนาจที่แท้จริงทุกประการ. พระองค์ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่นิรันดร์กาลจนถึงนิรันดร์กาลและทรงสง่าราศีโชติช่วงจนไม่มีมนุษย์คนใดมองเห็นพระองค์แล้วยังจะมีชีวิตอยู่ได้. (เอ็กโซโด 33:20; โรม 16:26) พระองค์ทรงมีอำนาจและสติปัญญาไม่จำกัด ทรงสมบูรณ์พร้อมในความยุติธรรมอย่างแท้จริงและทรงเป็นแบบฉบับแห่งความรัก. พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างตัวเรา ทรงเป็นตุลาการของเรา เป็นผู้ประทานกฎหมายแก่พวกเรา และทรงเป็นพระบรมมหากษัตริย์ของเรา. ของประทานอันดีทุกอย่างและของประทานอันเลิศทุกอย่างมาจากพระองค์.—บทเพลงสรรเสริญ 100:3; ยะซายา 33:22, (ฉบับแปลเก่าเป็นข้อ 23); ยาโกโบ 1:17.
2. การอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้านั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งใด?
2 เมื่อคำนึงถึงความจริงเหล่านี้ จึงไม่อาจมีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวด้วยพันธะหน้าที่ของเราในอันที่จะยอมอยู่ใต้อำนาจพระองค์. แต่เรื่องนี้หมายความอย่างไรสำหรับเรา? หมายถึงหลายอย่างทีเดียว. เนื่องจากเราโดยส่วนตัวแล้วไม่สามารถแลเห็นพระเจ้ายะโฮวาได้ ฉะนั้น การอยู่ใต้อำนาจพระองค์ย่อมหมายถึงการเอาใจใส่ฟังการชี้นำจากสติรู้สึกผิดชอบที่รับการฝึกสอนมาแล้ว, การร่วมมือกับองค์การของพระเจ้าที่ดำเนินงานบนแผ่นดินโลก, การยอมรับผู้มีอำนาจทางฝ่ายปกครอง. และการนับถือหลักการเกี่ยวกับความเป็นประมุขภายในวงครอบครัว.
การรักษาสติรู้สึกผิดชอบที่ดี
3. ที่จะคงไว้ซึ่งสติรู้สึกผิดชอบอันดี เราต้องเชื่อฟังข้อห้ามประเภทใด?
3 ที่จะรักษาสติรู้สึกผิดชอบที่ดีนั้น เราต้องเป็นคนเชื่อฟังสิ่งซึ่งใคร ๆ บังคับไม่ได้—นั้นคือกฎหรือหลักการต่าง ๆ ที่มนุษย์ไม่สามารถบังคับได้. ตัวอย่างเช่น พระบัญญัติประการที่สิบแห่งพระบัญญัติสิบประการที่ห้ามการโลภ ซึ่งมนุษย์ที่มีอำนาจก็ไม่สามารถบังคับได้. อนึ่ง เรื่องนี้เป็นหลักฐานว่าบัญญัติสิบประการมาจากพระเจ้า เพราะไม่มีมนุษย์คณะใดที่บัญญัติข้อกฎหมายจะออกกฎหมายที่ไม่อาจใช้บังคับได้โดยวิธีลงโทษหากมีการละเมิด. โดยกฎหมายนี้ พระเจ้ายะโฮวาทรงให้ชาวยิศราเอลแต่ละคนมีหน้าที่รับผิดชอบตรวจตราตัวเองหากเขาประสงค์จะมีสติรู้สึกผิดชอบที่ดี. (เอ็กโซโด 20:17) ทำนองเดียวกัน บรรดาการของเนื้อหนังซึ่งจะกันคนเราจากการรับมรดกแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้านั้นก็มี “การอิจฉา” และ “ริษยา”—ปฏิกิริยาโต้ตอบซึ่งไม่มีบทลงโทษที่ผู้ตัดสินที่เป็นมนุษย์ใช้บังคับได้. (ฆะลาเตีย 5:19-21) แต่ที่จะรักษาสติรู้สึกผิดชอบอันดีนั้น เราต้องละเว้นการต่าง ๆ ดังกล่าว.
4. ที่จะรักษาสติรู้สึกผิดชอบอันดีเสมอไป เราต้องดำเนินตามหลักการข้อใดบ้างของคัมภีร์ไบเบิล?
4 ใช่แล้ว เราต้องดำเนินชีวิตตามหลักการของคัมภีร์ไบเบิล. เราอาจสรุปหลักการเหล่านั้นไว้ได้ในบัญญัติสองข้อที่พระเยซูคริสต์ทรงแถลงเมื่อตอบคำถามว่าด้วยข้อไหนสำคัญที่สุดในพระบัญญัติของโมเซ. “จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้า [พระยะโฮวา] ด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า . . . . จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง.” (มัดธาย 22:36-40) คำตรัสของพระเยซูซึ่งบันทึกในมัดธาย 7:12 แสดงให้เห็นความหมายของบัญญัติข้อที่สองดังนี้: “เหตุฉะนั้นสิ่งสารพัตรซึ่งท่านปรารถนาให้มนุษย์ทำแก่ท่าน, จงกระทำอย่างนั้นแก่เขาเหมือนกัน, เพราะว่าพระบัญญัติและคำของศาสดาพยากรณ์สอนดังนั้น.”
5. เราจะรักษาความสัมพันธ์อันดีกับพระเจ้ายะโฮวาโดยวิธีใด?
5 เราต้องทำสิ่งที่เรารู้ว่าเป็นการถูกต้องและละเว้นการกระทำในสิ่งที่เรารู้ว่าผิด ไม่ว่าคนอื่นจะสังเกตเห็นหรือไม่ก็ตาม. เราควรทำเช่นนั้นถึงแม้ว่าไม่มีใครจับผิดเราได้ ไม่ว่าเราไม่ทำสิ่งที่พึงกระทำ หรือทำสิ่งที่ไม่ควรทำ. ทั้งหมดนี้หมายถึงการรักษาสัมพันธภาพที่ดีกับพระบิดาฝ่ายสวรรค์ของเรา โดยระลึกถึงคำเตือนสติที่อัครสาวกเปาโลกล่าวไว้ในเฮ็บราย 4:13 ว่า “สิ่งใดที่ไม่ได้ปรากฏแก่พระองค์ไม่มี แต่สรรพสิ่งปรากฏแจ้งต่อพระเนตรของพระองค์ผู้ซึ่งเราต้องให้การนั้น.” การมุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกจะช่วยให้เราสามารถต่อต้านวิธีการอันแยบยลของพญามาร ทั้งยังช่วยเราต้านทานความกดดันแห่งโลกนี้ และต่อสู้กับแนวโน้มในแนวทางอันเห็นแก่ตัวที่ได้รับสืบทอดมา.—เทียบกับเอเฟโซ 6:11.
การยอมอยู่ใต้อำนาจองค์การของพระเจ้า
6. พระยะโฮวาได้ทรงใช้แนวทางสื่อสารแบบไหนก่อนยุคคริสเตียน?
6 พระเจ้ายะโฮวาหาได้ปล่อยให้เรามีสิทธิจะตัดสินเอาเองเสียทั้งหมดในเรื่องวิธีที่เราจะนำหลักการจากคัมภีร์ไบเบิลไปใช้ในชีวิตของเรา. นับแต่เริ่มประวัติศาสตร์มนุษยชาติ พระเจ้าได้ทรงใช้มนุษย์เป็นวิถีทางสำหรับการติดต่อสื่อสาร. ดังนั้น อาดามจึงเป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้ากับฮาวา. อาดามได้รับคำสั่งห้ามเรื่องผลไม้ก่อนฮาวาถูกสร้างขึ้นมา ดังนั้น อาดามคงต้องบอกฮาวาในเรื่องพระทัยประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อนาง. (เยเนซิศ 2:16-23) โนฮาเป็นผู้พยากรณ์ของพระเจ้าที่ได้แจ้งข่าวแก่ครอบครัวของท่านและแก่ผู้คนสมัยก่อนน้ำท่วมโลก. (เยเนซิศ 6:13; 2 เปโตร 2:5) อับราฮามเป็นผู้แถลงข่าวแก่ครอบครัวของท่าน. (เยเนซิศ 18:19) โมเซเป็นผู้พยากรณ์ของพระเจ้าและเป็นเส้นทางติดต่อสื่อสารกับชาติยิศราเอล. (เอ็กโซโด 3:15, 16; 19:3, 7) นับตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งถึงโยฮันผู้ให้รับบัพติสมา ก็มีผู้พยากรณ์หลายคน ทั้งพวกปุโรหิตและกษัตริย์หลายองค์ซึ่งพระเจ้าทรงใช้เพื่อแจ้งแก่ไพร่พลทั้งปวงเกี่ยวด้วยพระทัยประสงค์ของพระองค์.
7, 8. (ก) เมื่อพระมาซีฮาเสด็จมาแล้ว พระเจ้าทรงใช้ใครแถลงข่าวของพระองค์? (ข) การอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าเรียกร้องให้พยานพระยะโฮวาทำอะไรสมัยนี้?
7 เมื่อมาซีฮา พระเยซูคริสต์, เสด็จมาแล้ว พระเจ้าได้ทรงใช้พระองค์พร้อมด้วยอัครสาวกและบรรดาสาวกผู้ใกล้ชิดทำหน้าที่เป็นผู้แถลงข่าวของพระเจ้า. ในเวลาต่อมา สาวกผู้ถูกเจิมที่ซื่อสัตย์ของพระเยซูคริสต์รับใช้ในฐานะเป็น “บ่าวสัตย์ซื่อและฉลาด” เพื่อชี้แจงกับไพร่พลของพระยะโฮวาให้ทราบวิธีการใช้หลักการแห่งคัมภีร์ไบเบิลในชีวิตของตน. การอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าหมายถึงการรับรองสื่อนำที่พระเจ้ายะโฮวาได้ทรงใช้.—มัดธาย 24:45-47; เอเฟโซ 4:11-14.
8 ข้อเท็จจริงแสดงให้เห็นว่าในปัจจุบัน “บ่าวสัตย์ซื่อและฉลาด” เกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิดกับพยานทั้งหลายของพระยะโฮวา และมีคณะกรรมการปกครองแห่งพยานเหล่านี้เป็นตัวแทน. คณะกรรมการนั้นได้แต่งตั้งผู้ดูแลไว้ในตำแหน่งหน้าที่หลายอย่าง—เช่น ผู้ปกครองและผู้ดูแลเดินทาง—ให้ชี้นำการทำงานระดับท้องถิ่น. การอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าเรียกร้องพยานฯแต่ละคนที่อุทิศตัวแล้วให้ยอมตัวอยู่ใต้อำนาจผู้ดูแลเหล่านี้ซึ่งก็สอดคล้องกับเฮ็บราย 13:17, (ล.ม.) ที่ว่า: “จงเชื่อฟังคนเหล่านั้นซึ่งนำหน้าในท่ามกลางท่านทั้งหลายและจงอยู่ใต้อำนาจ เพราะพวกเขาคอยเฝ้าระวังดูจิตวิญญาณของท่านในฐานะเป็นผู้ซึ่งจะชี้แจงรายงาน; เพื่อเขาจะทำเช่นนี้ด้วยความยินดี และไม่ใช่ด้วยการถอนใจ เพราะการเช่นนั้นคงจะเป็นความเสียหายแก่ท่าน.”
ยอมรับการตีสอน
9. การอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้ามักจะเกี่ยวข้องกับอะไรอยู่เนือง ๆ?
9 การอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้ามักจะเป็นเรื่องของการรับเอาการตีสอนจากคนเหล่านั้นซึ่งรับใช้ฐานะผู้ดูแล. ถ้าเราไม่ตีสอนตัวเอง อยู่เสมอตามความจำเป็น เราก็อาจจะต้องรับการแนะนำและการตีสอนจากบุคคลที่มีประสบการณ์และมีอำนาจจะกระทำเช่นนั้น เช่นผู้ปกครองในประชาคมของเราเป็นต้น. ที่จะยอมรับการตีสอนดังกล่าวเป็นแนวทางแห่งสติปัญญา.—สุภาษิต 12:15; 19:20.
10. บรรดาผู้ซึ่งต้องให้การตีสอนมีพันธะหน้าที่อะไร?
10 เป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่าผู้ปกครองที่ให้การตีสอนนั้น ตัวเขาเองต้องเป็นแบบอย่างแสดงการอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า. โดยวิธีใด? ตามที่แจ้งในพระธรรมฆะลาเตีย 6:1, (ล.ม.) เขาไม่เพียงแต่ต้องมีวิธีที่ดีในการให้คำแนะนำเท่านั้นแต่เขาต้องเป็นตัวอย่างด้วย: “พี่น้องทั้งหลาย ถ้าแม้นผู้ใดก้าวพลาดไปประการใดก่อนที่เขารู้ตัว ท่านทั้งหลายผู้มีคุณวุฒิทางฝ่ายวิญญาณจงพยายามปรับคนเช่นนั้นให้เข้าที่ด้วยน้ำใจอ่อนสุภาพ ขณะที่ท่านแต่ละคนเฝ้าระวังตนเอง เกรงว่าท่านอาจถูกล่อใจด้วย.” พูดอีกนัยหนึ่ง คำแนะนำของผู้ปกครองต้องสอดคล้องกับตัวอย่างของเขา. สิ่งนี้ประสานกับคำตักเตือนที่บันทึกอยู่ใน 2 ติโมเธียว 2:24, 25 และที่ติโต 1:9. ใช่แล้ว ผู้ที่ให้การว่ากล่าวแก้ไขต้องระวังตัวไม่เป็นคนเกรี้ยวกราด. เขาควรเป็นคนอ่อนโยน, กรุณา, แต่แน่วแน่ในการยืนหยัดในหลักการต่าง ๆ ในพระวจนะของพระเจ้าอยู่เสมอ. เขาควรเป็นนักฟังที่ไม่ลำเอียง เป็นความสดชื่นแก่คนอิดโรยและแบกภาระหนัก.—เทียบกับมัดธาย 11:28-30.
การอยู่ใต้อำนาจที่สูงกว่า
11. อะไรเป็นข้อเรียกร้องสำหรับคริสเตียนเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจในทางการปกครอง?
11 อนึ่ง การอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าเรียกร้องให้เราเชื่อฟังผู้มีอำนาจในทางการปกครองด้วยเช่นกัน. เรารับคำแนะนำจากพระธรรมโรม 13:1, (ล.ม.) ดังนี้: “จงให้ทุกคนยอมอยู่ใต้อำนาจที่สูงกว่า ด้วยว่าไม่มีอำนาจใด ๆ เว้นไว้โดยพระเจ้า; อำนาจต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่ ตั้งอยู่ในตำแหน่งสูงต่ำโดยพระเจ้า.” ในบรรดาการอื่น ๆ หลายอย่าง ถ้อยคำเหล่านี้เรียกร้องเราให้เชื่อฟังกฎจราจรและสำนึกในหน้าที่ที่ต้องเสียภาษีอากร ดังอัครสาวกเปาโลกล่าวไว้ที่โรม 13:7.
12. การที่เราอยู่ใต้อำนาจซีซาร์นั้นมีขอบเขตในแง่ใด?
12 กระนั้นก็ชัดแจ้งอยู่แล้ว การอยู่ใต้อำนาจซีซาร์เช่นนั้นทุกอย่างต้องมีขอบเขต. เราต้องระลึกอยู่เสมอถึงหลักการที่พระเยซูคริสต์ตรัสไว้ ดังบันทึกในมัดธาย 22:21 ว่า “เหตุฉะนั้นของของกายะซาจงถวายแก่กายะซา และของของพระเจ้าจงถวายแก่พระเจ้า.” เชิงอรรถเกี่ยวข้องกับโรม 13:1 ตามการชี้แจงในหนังสือ อ็อกซ์ฟอร์ด นิวอินเตอร์แนชันแนลเวอร์ชัน สโกเฟลด์ สตัดดิ ไบเบิล ว่าดังนี้: “ทั้งนี้ไม่หมายความว่าเขาจะต้องเชื่อฟังกฎข้อบังคับซึ่งไม่ถูกต้องทางศีลธรรม หรือกฎที่ต่อต้านคริสเตียน. ในกรณีเช่นนั้น หน้าที่ของเขาคือเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์ (กิจการ 5:29; เทียบกับดานิเอล 3:16-18; 6:10).”
การอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าภายในวงครอบครัว
13. การอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าภายในวงครอบครัวเรียกร้องอะไรจากสมาชิกครอบครัว?
13 ในวงครอบครัว สามีและบิดาทำหน้าที่เป็นหัวหน้า. ข้อนี้เรียกร้องให้ภรรยาปฏิบัติตามคำแนะนำที่เอเฟโซ 5:22, 23, (ล.ม.) ดังนี้: “จงให้ภรรยาทั้งหลายยอมอยู่ใต้อำนาจสามีของตนเหมือนกระทำต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าสามีเป็นประมุขของภรรยาของตนเหมือนพระคริสต์เป็นประมุขของประชาคมด้วย.”a ส่วนบุตรทั้งหลายนั้น เขาก็ไม่วางกฎเกณฑ์สำหรับตัวเอง แต่ต้องยอมอยู่ใต้อำนาจทั้งบิดาและมารดาของตนด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า ดังที่เปาโลชี้แจงในเอเฟโซ 6:1-3, (ล.ม.) ว่า “ฝ่ายบุตรทั้งหลาย จงเชื่อฟังบิดามารดาของตนร่วมสามัคคีกันกับองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าการนี้ชอบธรรม: ‘จงให้เกียรติบิดาและมารดาของตน’ ซึ่งเป็นบัญญัติแรกพร้อมด้วยคำสัญญา: ‘เพื่อว่าเจ้าจะอยู่ดีมีสุขและอายุของเจ้าจะยืนยงบนแผ่นดินโลก.’”
14. การอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าเรียกร้องอะไรจากประมุขครอบครัว?
14 จริงอยู่ จะทำให้ง่ายขึ้นสำหรับภรรยาและบุตรจะยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าเช่นนั้นก็ต่อเมื่อสามีและบิดาแสดงออกซึ่งการยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าเสียเอง. พวกเขาทำเช่นนี้ได้โดยการปฏิบัติหน้าที่เป็นประมุขประสานกับหลักการในคัมภีร์ไบเบิล อย่างที่เราพบในเอเฟโซ 5:28, 29 และ 6:4, (ล.ม.) ดังนี้: “โดยวิธีนี้สามีทั้งหลายจึงควรรักภรรยาของตนเหมือนรักร่างกายของตนเอง. ผู้ที่รักภรรยาของตนก็รักตัวเอง เพราะไม่มีชายคนใดเคยเกลียดชังเนื้อหนังของตนเอง; แต่เขาเลี้ยงดูและทะนุถนอมเนื้อหนังนั้น ดังที่พระคริสต์ได้ทรงกระทำกับประชาคม.” “ท่านทั้งหลายผู้เป็นบิดา อย่ายั่วบุตรของท่านให้ขัดเคืองใจ แต่จงอบรมเขาด้วยการตีสอนและการปรับความคิดจิตใจ [ตามหลักการ] ของพระยะโฮวา.”
สิ่งที่ช่วยให้สำแดงการอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า
15. ผลพระวิญญาณประการไหนจะช่วยเราในการอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า?
15 อะไรจะช่วยเราให้สำแดงการอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าในขอบเขตเหล่านี้? ประการแรก, ความรักอย่างไม่เห็นแก่ตัว—รักพระเจ้ายะโฮวาและรักคนเหล่านั้นที่พระองค์ทรงตั้งขึ้นให้เอาใจใส่พวกเรา. เราได้เรียนรู้จาก 1 โยฮัน 5:3, (ล.ม.) ว่า “นี่แหละหมายถึงความรักต่อพระเจ้า คือว่าให้เรารักษาบัญญัติของพระองค์ และกระนั้นบัญญัติของพระองค์ไม่เป็นภาระหนัก.” พระเยซูทรงเน้นจุดเดียวกันนี้ที่โยฮัน 14:15, (ล.ม.) ที่ว่า “ถ้าเจ้าทั้งหลายรักเรา เจ้าก็จะปฏิบัติตามบัญญัติของเรา.” ตามจริงแล้ว ความรัก—ผลแห่งพระวิญญาณอันดับแรก—จะโน้มนำพวกเราให้แสดงการหยั่งรู้ค่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระยะโฮวาได้กระทำเพื่อเรา และเหตุนี้เอง จึงช่วยเราให้สำแดงตัวอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า.—ฆะลาเตีย 5:22.
16. การเกรงกลัวพระเจ้าเป็นประโยชน์อย่างไรต่อการอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า?
16 ประการที่สอง, ความเกรงกลัวด้วยความเลื่อมใส. การกลัวว่าจะทำให้พระยะโฮวาไม่พอพระทัยเป็นการช่วยเรา เพราะนั่นหมายถึง “การชังความชั่ว.” (สุภาษิต 8:13) ไม่ต้องสงสัย ความกลัวว่าจะทำให้พระยะโฮวาไม่พอพระทัยจะป้องกันเราไว้จากการประนีประนอมเพราะการกลัวหน้ามนุษย์. นอกจากนั้น ยังเป็นการช่วยเราให้เชื่อฟังคำแนะนำต่าง ๆ ของพระเจ้า ไม่ว่าจะต้องเอาชนะความยากลำบากใด ๆ ก็ตาม. ยิ่งกว่านั้น ยังช่วยเราที่จะไม่ยอมแพ้การล่อใจหรือแนวโน้มใด ๆ ในทางกระทำผิด. คัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นว่าการเกรงกลัวนั้นแหละเป็นสิ่งส่งเสริมอับราฮามให้พยายามถวายยิศฮาคบุตรสุดที่รักของตนเป็นเครื่องบูชา และความกลัวว่าจะทำให้พระยะโฮวาไม่พอพระทัยนั้นแหละ ทำให้โยเซฟสามารถต้านทานการเข้าหาอย่างผิดศีลธรรมของภรรยาโพติฟาได้สำเร็จ.—เยเนซิศ 22:12; 39:9.
17. ความเชื่อมีบทบาทอะไรในการที่เรายอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า?
17 สิ่งที่ช่วยประการที่สามได้แก่ความเชื่อในพระเจ้ายะโฮวา. ความเชื่อทำให้เราสามารถเอาใจใส่คำแนะนำในพระธรรมสุภาษิต 3:5, 6 ที่ว่า “จงวางใจในพระยะโฮวาด้วยสุดใจของเจ้า, อย่าพึ่งในความเข้าใจของตนเอง: จงรับพระองค์ให้เข้าส่วนในทางทั้งหลายของเจ้า, และพระองค์จะชี้ทางเดินของเจ้าให้แจ่มแจ้ง.” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเชื่อจะช่วยเราได้เมื่อดูเหมือนว่าเราต้องทนรับทุกข์อย่างไม่เป็นธรรมหรือเราถูกเหยียดผิวหรือได้รับการดูถูกในเรื่องเชื้อชาติหรือเพราะความขัดแย้งทางบุคลิกภาพ. บางคนอาจรู้สึกด้วยว่าตนถูกเมินไม่ได้รับการเสนอให้ปฏิบัติหน้าที่ผู้ปกครองหรือผู้รับใช้. ถ้าเรามีความเชื่อ เราจะคอยท่าพระยะโฮวาที่จะดำเนินการแก้ไขเรื่องต่าง ๆ ภายในเวลาที่พระองค์ทรงเห็นสมควร. ระหว่างนั้น เราอาจจะต้องปลูกฝังความพากเพียรอดทน.—บทเพลงร้องทุกข์ 3:26.
18. สิ่งส่งเสริมประการที่สี่ได้แก่อะไรที่ช่วยเราให้ยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า?
18 สิ่งช่วยประการที่สี่คือความถ่อมใจ. คนถ่อมใจไม่มีความยุ่งยากในการยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า เพราะเขา ‘มีใจถ่อม ถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว.’ คนใจถ่อมเต็มใจจะประพฤติตนเป็น ‘ผู้น้อย.’ (ฟิลิปปอย 2:2-4; ลูกา 9:48) ฝ่ายคนยโสจะไม่พอใจเมื่อต้องอยู่ใต้อำนาจและรู้สึกเดือดดาล. มีการกล่าวไว้อย่างเหมาะเจาะว่าคนแบบนี้ชอบถูกทำลายด้วยคำพูดยกยอปอปั้นมากกว่าการได้รับการปกป้องด้วยข้อติติง.
19. ตัวอย่างอันดีเช่นไรของอดีตนายกสมาคมว็อชเทาเวอร์ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความถ่อมใจ?
19 โจเซฟ รัทเทอร์ฟอร์ด นายกคนที่สองแห่งสมาคมว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแอนด์แทร็กต์ได้เป็นตัวอย่างที่ดีเกี่ยวกับความถ่อมใจและการยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า. คราวที่ฮิตเลอร์สั่งห้ามกิจการของพยานพระยะโฮวาในประเทศเยอรมนี พี่น้องที่นั่นได้เขียนถามบราเดอร์รัทเทอร์ฟอร์ดว่าควรทำอย่างไรเมื่อคำนึงถึงการสั่งห้ามประชุมและห้ามทำการประกาศ. ท่านได้พูดเรื่องนี้ต่อครอบครัวเบเธล และยอมรับตรง ๆ ว่าท่านไม่ทราบจะบอกพี่น้องชาวเยอรมันอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนึกถึงการลงโทษอย่างรุนแรงที่พี่น้องจะได้รับจากรัฐบาลฮิตเลอร์. ท่านพูดว่าหากใครคิดได้ว่าจะบอกพี่น้องเหล่านั้นให้ทำอย่างไร ท่านยินดีรับฟัง. ช่างใจถ่อมเสียจริง ๆ!b
ผลประโยชน์ต่าง ๆ เนื่องจากการยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า
20. มีพระพรอะไรบ้างสืบเนื่องจากการอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า?
20 คงจะดีหากถามว่าการอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าก่อประโยชน์อะไรบ้าง? ประโยชน์มากมายจริง ๆ. เราหลุดพ้นจากความกระวนกระวายใจและความคับข้องใจซึ่งคนเหล่านั้นที่ปฏิบัติอย่างเอกเทศได้ประสบ. เรามีสัมพันธภาพที่ดีกับพระเจ้ายะโฮวา. เรามีการคบหาสมาคมที่ดีที่สุดในท่ามกลางพี่น้องคริสเตียนของเรา. นอกจากนี้ โดยที่เราวางตัวเหมาะสมถูกต้องตามกฎหมาย เราจึงหลีกเลี่ยงความยุ่งยากโดยไม่จำเป็นกับผู้มีอำนาจในทางการปกครอง. อนึ่ง เราชื่นชมกับชีวิตครอบครัวที่เป็นสุขในฐานะสามีภรรยา ในฐานะบิดามารดาและบุตร. ยิ่งกว่านั้น โดยการยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าเรื่อยไปเช่นนี้ เราก็ประพฤติสอดคล้องกับคำแนะนำในพระธรรมสุภาษิต 27:11 ที่ว่า “ศิษย์ของเราเอ๋ย, จงมีปัญญาขึ้น, และกระทำให้ใจของเรามีความยินดี; เพื่อเราจะมีคำตอบคนที่ตำหนิเราได้.”
[เชิงอรรถ]
a ภายหลังการอธิษฐานด้วยความร้อนรนและศึกษาพระวจนะของพระเจ้า โจเซฟ รัทเทอร์ฟอร์ดก็รู้แจ้งในคำตอบที่ท่านควรให้แก่พวกพี่น้องในเยอรมนี. ไม่ใช่หน้าที่ของท่านจะบอกเขาว่าควรหรือไม่ควรทำอะไร. พวกเขามีพระคำของพระเจ้าซึ่งบอกไว้ชัดเจนว่าเขาควรทำอย่างไรเกี่ยวกับการร่วมประชุมกันและการให้คำพยาน. ดังนั้น พี่น้องชาวเยอรมันจึงดำเนินงานใต้ดิน กระนั้น ก็ยังคงเชื่อฟังพระบัญชาของพระยะโฮวาที่ให้ร่วมประชุมกันและให้คำพยานเกี่ยวด้วยพระนามและราชอาณาจักรของพระองค์.
b ผู้รับใช้ประเภทไพโอเนียร์พูดชมภรรยาของตนกับไพโอเนียร์โสดอีกคนหนึ่งว่าเธอเป็นคนให้ความยำเกรงและสนับสนุนด้วยความรัก. ไพโอเนียร์โสดคิดว่าเพื่อนของเขาน่าจะพูดถึงบางอย่างเกี่ยวกับคุณสมบัติด้านอื่นของภรรยา. แต่หลายปีต่อมา เมื่อไพโอเนียร์โสดได้แต่งงาน เขาจึงตระหนักว่าการสนับสนุนด้วยความรักในส่วนของภรรยานั้นสำคัญเพียงไรเพื่อความสุขสำราญของครอบครัว.
คำถามทบทวน
▫ พระเจ้าทรงใช้มนุษย์คนใดบ้างเป็นแนวทางสื่อสาร และผู้รับใช้ของพระองค์มีพันธะอะไรต่อพวกเขา?
▫ การอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าเกี่ยวพันไปถึงสัมพันธภาพด้านต่าง ๆ อะไรบ้าง?
▫ คุณสมบัติประการต่าง ๆ อะไรบ้างจะช่วยเราสำแดงการอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า?
▫ การอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าบังเกิดผลเป็นพระพรอะไร?
[ที่มาของภาพหน้า 16]
พระเจ้าทรงใช้องค์การพระวิหารแห่งยะรูซาเลมเป็นสื่อติดต่อให้ไพร่พลรู้จักพระทัยประสงค์ของพระองค์
[รูปภาพหน้า 18]
ขอบเขตต่าง ๆ ซึ่งเราสามารถสำแดงการอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า