พระยะโฮวา พระเจ้าผู้ทรงมีจุดมุ่งหมาย
“แท้จริง เราได้กะโครงการไว้อย่างไร ก็จะเป็นไปดังนั้น; และเราได้กำหนดกาลอย่างไรก็จะเกิดขึ้นอย่างนั้น.”—ยะซายา 14:24.
1, 2. หลายคนพูดอย่างไรเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของชีวิต?
ผู้คนทั่วทุกหนทุกแห่งถามว่า “อะไรเป็นจุดมุ่งหมายของชีวิต?” ผู้นำทางการเมืองคนหนึ่งในซีกโลกตะวันตกกล่าวอย่างนี้: “ประชาชนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ พากันถามว่า ‘พวกเราเป็นใคร? จุดมุ่งหมายของเราคืออะไร?’” เมื่อหนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่งสอบถามข้อคิดเห็นจากหนุ่มสาวว่าอะไรเป็นจุดมุ่งหมายในชีวิต คำตอบโดยทั่วไปคือ “ทำตามความปรารถนาของหัวใจ.” “ใช้ชีวิตทุกขณะอย่างสุดเหวี่ยง.” “มีชีวิตเป็นอยู่อย่างสนุกสนานและหรูหรา.” “มีบุตร อยู่สุขสบายแล้วก็ตาย.” คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าชีวิตก็มีแค่นี้เอง. ไม่มีใครพูดถึงจุดมุ่งหมายระยะยาวแต่อย่างใดสำหรับชีวิตบนแผ่นดินโลก.
2 ผู้คงแก่เรียนทางลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งพูดไว้ว่า “ความหมายสุดยอดของชีวิตพบเห็นได้จากการที่มนุษย์ดำรงชีวิตแบบปกติธรรมดานี้แหละ.” ตามที่ว่านี้ มนุษย์เรายังคงเกิด ต่อสู้ดิ้นรนประมาณ 70 หรือ 80 ปี แล้วก็ตายและดับสูญตลอดกาล จะเป็นเช่นนี้อยู่เรื่อยไป. นักวิทยาศาสตร์ด้านวิวัฒนาการคนหนึ่งกล่าวว่า “เราอาจปรารถนาจะได้คำตอบที่ ‘สูงส่งกว่า’—แต่ไม่มีเลย.” สำหรับนักวิวัฒนาการเหล่านี้ ชีวิตหมายถึงการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด และทุกสิ่งจบสิ้นที่ความตาย. ปรัชญาดังกล่าวให้ทัศนะชีวิตที่ปราศจากความหวัง.
3, 4. สภาพการณ์ต่าง ๆ ในโลกส่งผลกระทบอย่างไรต่อวิธีที่หลายคนมองชีวิต?
3 หลายคนสงสัยว่าชีวิตมีจุดมุ่งหมายหรือไม่ เมื่อเขาแลเห็นสภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ยากมากมาย. ในสมัยของเรา เมื่อคนเราถือกันว่าได้บรรลุความสำเร็จมากด้านอุตสาหกรรมและด้านวิทยาศาสตร์ ประมาณหนึ่งพันล้านคนทั่วโลกกลับเจ็บป่วยอย่างรุนแรง หรือไม่ก็เป็นโรคขาดอาหาร. เด็กหลายล้านคนตายทุกปีเพราะสาเหตุดังกล่าว. นอกจากนั้น มีผู้เสียชีวิตเนื่องจากสงครามในศตวรรษที่ 20 นี้มากกว่าตลอดสี่ร้อยปีก่อนหน้านั้นรวมกันถึงสี่เท่า. อาชญากรรม, ความรุนแรง, การใช้ยาเสพย์ติด, ครอบครัวแตกแยก, โรคเอดส์และโรคอื่น ๆ ที่ติดต่อโดยเพศสัมพันธ์—รายการปัจจัยต่าง ๆ ในด้านลบมีมากขึ้น. บรรดาผู้นำของโลกไม่มีหนทางแก้ปัญหาเหล่านี้เลย.
4 เมื่อคำนึงถึงสภาพการณ์ดังกล่าว สตรีผู้หนึ่งได้พูดถึงความรู้สึกของหลายคนที่ว่า “ไม่มีจุดมุ่งหมายอะไรสำหรับชีวิต. หากสิ่งเลวร้ายเหล่านี้ทุกอย่างอุบัติขึ้น ชีวิตก็ไม่สู้จะมีความหมายมากนัก.” และชายสูงอายุคนหนึ่งกล่าวว่า “ผมเฝ้าถามเกือบตลอดชีวิตว่า ผมเกิดมาทำไม. ถ้าชีวิตมีจุดมุ่งหมายละก็ ผมไม่สนใจอีกแล้ว.” ดังนั้น เพราะผู้คนมากมายไม่รู้เหตุผลที่พระเจ้ายอมให้มีความทุกข์ยากเช่นนี้ สภาพการณ์ต่าง ๆ ในโลกที่ทำให้เกิดความทุกข์เดือดร้อนจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาไม่มีความหวังอย่างแท้จริงสำหรับอนาคต.
5. ทำไมศาสนาต่าง ๆ ของโลกทำให้เกิดความสับสนมากขึ้นในเรื่องจุดมุ่งหมายของชีวิต?
5 แม้แต่ผู้นำด้านศาสนาก็ไม่เห็นพ้องต้องกัน และไม่แน่ใจเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของชีวิต. อดีตเจ้าคณะบาทหลวงแห่งโบสถ์เซนต์พอลในลอนดอนได้กล่าวว่า “ตลอดชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้พยายามสืบค้นหาจุดมุ่งหมายของการมีชีวิตอยู่ . . . แต่หาไม่พบ.” จริงอยู่ นักเทศน์นักบวชหลายคนสอนว่า เมื่อคนเราตาย คนดีจะไปสวรรค์และคนชั่วจะตกนรกที่เป็นไฟร้อนจัดชั่วกัปชั่วกัลป์. ทว่า ทัศนะเช่นนี้ยังคงปล่อยให้มนุษยชาติในแผ่นดินโลกทนรับความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสอยู่ต่อไป. และหากว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้ผู้คนอยู่ในสวรรค์ ไฉนพระองค์ไม่สร้างเขามีกายเหมาะสำหรับภาคสวรรค์เสียแต่แรกล่ะ เหมือนที่พระองค์ได้สร้างพวกทูตสวรรค์ เพื่อว่ามนุษย์จะไม่ต้องรับความทุกข์ยากมากมายอย่างที่เป็นอยู่? ดังนั้น ความสับสนในเรื่องจุดมุ่งหมายของชีวิตบนแผ่นดินโลก หรือการไม่ยอมเชื่อว่าชีวิตมีจุดมุ่งหมายจึงเป็นสิ่งปกติธรรมดา.
พระเจ้าผู้ทรงมีจุดมุ่งหมาย
6, 7. คัมภีร์ไบเบิลบอกอะไรแก่เราเกี่ยวกับองค์บรมมหิศรแห่งเอกภพ?
6 กระนั้น คัมภีร์ไบเบิล หนังสือศักดิ์สิทธิ์ซึ่งจำหน่ายแพร่หลายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เปิดเผยแก่เราว่า พระยะโฮวา องค์บรมมหิศรแห่งเอกภพ เป็นพระเจ้าที่มีจุดมุ่งหมาย. คัมภีร์ไบเบิลบอกให้เราทราบว่า พระองค์ทรงมีจุดมุ่งหมายระยะยาว ที่จริง ตลอดกาลนานสำหรับมนุษย์บนแผ่นดินโลก. และเมื่อพระยะโฮวาทรงมุ่งหมายการใด ๆ สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน. พระเจ้าตรัสว่า ดังฝนได้ทำให้เมล็ดพืชงอกฉันใด “ถ้อยคำที่ออกไปจากปากของเราก็จะเป็นดังนั้น. จะไม่กลับมายังเราโดยไร้ผล แต่จะกระทำตามที่เราพอใจอย่างแน่แท้ และจะมีผลสัมฤทธิ์แน่นอนดังที่เราได้ใช้ให้ไปทำ.” (ยะซายา 55:10, 11, ล.ม.) อะไรก็ตามที่พระยะโฮวาตรัส พระองค์จะกระทำให้สำเร็จ “จะเกิดขึ้นอย่างนั้น.”—ยะซายา 14:24.
7 มนุษย์เรามั่นใจได้เต็มที่ว่า พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทุกประการจะรักษาคำสัญญาของพระองค์ เพราะพระเจ้า “ตรัสมุสาไม่ได้.” (ติโต 1:2; เฮ็บราย 6:18) เมื่อพระเจ้าแจ้งแก่เราว่าพระองค์จะกระทำอะไรบางอย่าง คำตรัสของพระองค์เป็นคำรับรองว่าสิ่งนั้นจะบรรลุผล ประหนึ่งว่าสิ่งนั้นได้เป็นจริงแล้ว. พระองค์ทรงแถลงดังนี้: “เราเป็นพระเจ้า, และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนเรา; เราเป็นผู้บอกเล่าตั้งแต่ต้นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นตอนปลาย, และบอกเล่าสิ่งซึ่งยังไม่เกิดขึ้นไว้ตั้งแต่เวลาโบราณ. เราเป็นผู้กล่าวว่า ‘โครงการของเราจะยั่งยืน และเราจะทำตามความประสงค์ของเราทุกประการ . . . .เราได้พูดไว้แล้ว, และเราจะทำให้เกิดขึ้น. เราได้วางโครงการไว้แล้ว, และเราจะทำให้สำเร็จ.”—ยะซายา 46:9-11.
8. คนเหล่านั้นที่ต้องการรู้จักพระเจ้าด้วยใจจริงสามารถพบพระองค์ได้ไหม?
8 ยิ่งกว่านั้น พระยะโฮวา “ไม่ทรงประสงค์จะให้คนหนึ่งคนใดพินาศเลย, แต่ทรงปรารถนาจะให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่.” (2 เปโตร 3:9) ด้วยเหตุผลข้อนี้ พระองค์จึงไม่ประสงค์จะให้บุคคลใด ๆ เป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพระองค์. ผู้พยากรณ์ชื่ออะซาระยากล่าวว่า “ถ้าพวกท่านแสวงหาพระองค์ พระองค์จะทรงโปรดให้พวกท่านประสบ; แต่ทว่า ถ้าพวกท่านละทิ้งพระองค์ พระองค์จะละทิ้งพวกท่านเสีย.” (2 โครนิกา 15:1, 2) ฉะนั้น คนที่ต้องการรู้จักพระเจ้าและพระประสงค์ของพระองค์จริง ๆ คงจะสมประสงค์อย่างแน่นอน หากเขาบากบั่นแสวงหาพระองค์.
9, 10. (ก) ได้มีการจัดเตรียมอะไรไว้สำหรับบรรดาคนที่ประสงค์จะรู้จักพระเจ้า? (ข) การสืบค้นพระวจนะของพระเจ้าจะช่วยเราให้สามารถทำอะไร?
9 แต่แสวงหาที่ไหน? สำหรับผู้ที่ตั้งใจแสวงหาพระเจ้าจริง ๆ พระองค์ได้จัดเตรียมคัมภีร์ไบเบิล พระคำของพระองค์ให้แก่เขา. โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ พลังปฏิบัติการอย่างเดียวกันกับที่พระองค์ทรงใช้สร้างเอกภพ พระเจ้าได้ชี้นำเหล่าผู้ซื่อสัตย์ให้จารึกสิ่งที่พวกเราจำเป็นต้องรู้เกี่ยวด้วยพระประสงค์ต่าง ๆ ของพระองค์. อาทิ เกี่ยวกับคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิล อัครสาวกเปโตรบอกว่า “เพราะไม่มีคราวใดที่มีการนำคำพยากรณ์ออกมาตามน้ำใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ได้กล่าวมาจากพระเจ้า ตามที่เขาได้รับการทรงนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์.” (2 เปโตร 1:21, ล.ม.) ทำนองคล้ายคลึงกัน อัครสาวกเปาโลแถลงอย่างนี้: “พระคัมภีร์ทุกตอนได้มีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้าและเป็นประโยชน์เพื่อการสั่งสอน เพื่อการว่ากล่าว เพื่อจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย เพื่อตีสอนด้วยความชอบธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วน เตรียมพร้อมสำหรับการดีทุกอย่าง.”—2 ติโมเธียว 3:16, 17, ล.ม.; 1 เธซะโลนิเก 2:13.
10 โปรดสังเกตว่า พระคำของพระเจ้าทำให้เรา “มีคุณสมบัติครบถ้วน, เตรียมพร้อมสำหรับการดีทุกอย่าง” ไม่ใช่เพียงบางส่วนหรือไม่ครบถ้วน. พระคำจะช่วยคนเราให้แน่ใจในประการที่ว่าใครคือพระเจ้า อะไรคือพระประสงค์ของพระองค์ และพระองค์ทรงเรียกร้องอะไรจากผู้รับใช้ของพระองค์. นี้แหละเป็นสิ่งที่พึงคาดหมายจากหนังสือซึ่งพระเจ้าเป็นผู้ประพันธ์. และหนังสือนั้นเป็นแหล่งเดียวที่เราสามารถสืบค้นได้เพื่อจะได้ความรู้ถ่องแท้เกี่ยวกับพระเจ้า. (สุภาษิต 2:1-5; โยฮัน 17:3) เมื่อเราทำเช่นนี้ เราจะ “ไม่เป็นเด็กต่อไป, ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง, และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง.” (เอเฟโซ 4:13, 14) ผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญได้กล่าวแสดงทัศนะอันเหมาะสมดังนี้: “พระวจนะของพระองค์ [ของพระเจ้า] เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพเจ้า, และเป็นแสงสว่างตามทางของข้าพเจ้า.”—บทเพลงสรรเสริญ 119:105.
เปิดเผยออกมาทีละขั้น
11. พระยะโฮวาได้ทรงเปิดเผยพระประสงค์ของพระองค์แก่มนุษยชาติโดยวิธีใด?
11 ณ ตอนเริ่มต้นของครอบครัวมนุษย์ พระยะโฮวาได้เปิดเผยพระประสงค์ของพระองค์ที่มีต่อแผ่นดินโลกและมนุษย์ที่อาศัยบนพิภพนี้. (เยเนซิศ 1:26-30) แต่ครั้นบิดามารดาคู่แรกของมนุษย์เราปฏิเสธพระบรมเดชานุภาพของพระเจ้า มนุษยชาติจึงตกเข้าสู่ความมืดฝ่ายวิญญาณและความตาย. (โรม 5:12) กระนั้นก็ตาม พระยะโฮวาทรงทราบว่า ยังมีคนที่ต้องการรับใช้พระองค์. เหตุฉะนั้น ตลอดศตวรรษต่าง ๆ ที่ผ่านมา พระองค์ได้ทรงเปิดเผยพระประสงค์ของพระองค์แก่ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ทีละขั้น. บางคนที่พระองค์ได้ทรงติดต่อก็มีฮะโนค (เยเนซิศ 5:24; ยูดา 14, 15), โนฮา (เยเนซิศ 6:9, 13), อับราฮาม (เยเนซิศ 12:1-3), และโมเซ (เอ็กโซโด 31:18; 34:27, 28). อาโมศ ผู้พยากรณ์ของพระเจ้าได้จารึกว่า “ด้วยว่าพระยะโฮวาองค์บรมมหิศรจะไม่ทรงทำสิ่งใด เว้นแต่พระองค์ได้ทรงเปิดเผยเรื่องซึ่งพระองค์ถือเป็นความลับแก่ผู้รับใช้ของพระองค์คือพวกผู้พยากรณ์.”—อาโมศ 3:7, ล.ม.; ดานิเอล 2:27, 28.
12. โดยวิธีใดพระเยซูทรงให้ความรู้กระจ่างยิ่งขึ้นเกี่ยวกับพระประสงค์ของพระเจ้า?
12 สมัยที่พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า อยู่บนแผ่นดินโลก หลังจากการกบฏในสวนเอเดนกว่า 4,000 ปี มีการเปิดเผยรายละเอียดมากมายเกี่ยวด้วยพระประสงค์ของพระยะโฮวา. เป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะตั้งราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์ปกครองแผ่นดินโลก. (ดานิเอล 2:44) พระเยซูทรงจัดให้ราชอาณาจักรนี้เป็นสาระสำคัญแห่งการสอนของพระองค์. (มัดธาย 4:17; 6:10) พระองค์พร้อมด้วยสาวกทั้งหลายได้สอนว่า ภายใต้การปกครองแห่งราชอาณาจักร พระประสงค์แรกเดิมของพระเจ้าที่มีต่อแผ่นดินโลกและต่อมนุษยชาติจะบรรลุผล. แผ่นดินโลกจะเปลี่ยนสภาพเป็นอุทยานซึ่งมีมนุษย์สมบูรณ์อาศัยอยู่ ผู้ซึ่งจะมีชีวิตตลอดไป. (บทเพลงสรรเสริญ 37:29; มัดธาย 5:5; ลูกา 23:43; 2 เปโตร 3:13; วิวรณ์ 21:4) ยิ่งกว่านั้น พระเยซูและเหล่าสาวกของพระองค์ได้แสดงให้เห็นภาพสิ่งที่จะเกิดขึ้นในโลกใหม่ โดยการอัศจรรย์ต่าง ๆ ที่เขาสำแดงด้วยฤทธิ์จากพระเจ้า.—มัดธาย 10:1, 8; 15:30, 31; โยฮัน 11:25-44.
13. เกี่ยวกับวิธีการติดต่อของพระเจ้ากับมนุษยชาติ มีเหตุการณ์อะไรอุบัติขึ้น ณ วันเพ็นเตคอสเตปีสากลศักราช 33?
13 ณ วันเพ็นเตคอสเตปีสากลศักราช 33 ห้าสิบวันภายหลังการคืนพระชนม์ของพระเยซู พระเจ้าได้หลั่งพระวิญญาณของพระองค์ลงเหนือประชาคมที่ประกอบด้วยสาวกของพระคริสต์. ประชาคมนี้เข้ามาแทนชาติยิศราเอลที่ไม่ซื่อสัตย์ในฐานะเป็นไพร่พลของพระยะโฮวาภายใต้คำสัญญาไมตรี. (มัดธาย 21:43; 27:51; กิจการ 2:1-4) การหลั่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ในโอกาสนั้นเป็นหลักฐานแสดงว่า นับแต่นั้นเป็นต้นไป พระเจ้าจะทรงเผยความจริงอันเกี่ยวเนื่องกับพระประสงค์ของพระองค์ผ่านทางตัวแทนใหม่นี้. (เอเฟโซ 3:10) ระหว่างศตวรรษแรกนั้นเอง ได้มีการจัดตั้งโครงสร้างลักษณะองค์การของประชาคมคริสเตียนขึ้น.—1 โกรินโธ 12:27-31; เอเฟโซ 4:11, 12.
14. ผู้แสวงความจริงจะรู้จักประชาคมคริสเตียนแท้ได้โดยวิธีใด?
14 ทุกวันนี้ ผู้แสวงความจริงสามารถมองประชาคมคริสเตียนออกได้โดยที่ประชาคมนั้นสำแดงคุณลักษณะเด่นที่สุดของพระเจ้า อันได้แก่ความรัก อย่างเสมอต้นเสมอปลาย. (1 โยฮัน 4:8, 16) จริง ๆ แล้ว ความรักฉันพี่น้องเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความเป็นคริสเตียนแท้. พระเยซูตรัสดังนี้: “โดยเหตุนี้คนทั้งปวงจะรู้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา ถ้าเจ้ามีความรักระหว่างพวกเจ้าเอง.” “นี้แหละเป็นบัญญัติของเรา คือให้เจ้าทั้งหลายรักซึ่งกันและกันเหมือนที่เราได้รักเจ้า.” (โยฮัน 13:35; 15:12, ล.ม.) และพระเยซูทรงสะกิดใจผู้ฟังของพระองค์ว่า “เจ้าทั้งหลายเป็นมิตรของเราถ้าเจ้าปฏิบัติตามที่เราสั่งเจ้า.” (โยฮัน 15:14, ล.ม.) ฉะนั้น ผู้รับใช้แท้ของพระเจ้าจึงได้แก่คนเหล่านั้นที่ดำเนินชีวิต ตามกฎแห่งความรัก. พวกเขาไม่เพียงแต่พูดเรื่องความรัก เนื่องจาก “ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติก็ตายแล้ว.”—ยาโกโบ 2:26, ล.ม.
รับความกระจ่าง
15. ผู้รับใช้ของพระเจ้าสามารถแน่ใจได้เรื่องอะไร?
15 พระเยซูได้ตรัสพยากรณ์ว่า เมื่อเวลาผ่านไป ประชาคมคริสเตียนแท้จะได้รับความกระจ่างมากขึ้นเรื่อย ๆ ทางด้านพระประสงค์ของพระเจ้า. พระองค์ทรงสัญญากับสาวกของพระองค์ดังนี้: “ผู้ช่วยนั้น คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรา พระวิญญาณนั้นจะสอนเจ้าทั้งหลายทุกสิ่ง.” (โยฮัน 14:26, ล.ม.) พระเยซูตรัสอีกว่า “นี่แน่ะ! เราอยู่กับเจ้าทั้งหลายตลอดไปจนกระทั่งจุดอวสานแห่งระบบนี้.” (มัดธาย 28:20, ล.ม.) ดังนั้น ท่ามกลางผู้รับใช้ของพระเจ้าจึงมีความกระจ่างเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทางด้านความจริงเรื่องพระเจ้าและพระประสงค์ของพระองค์. จริงทีเดียว “วิถีของเหล่าคนชอบธรรมเป็นดุจแสงสว่างอันรุ่งโรจน์ซึ่งส่องแสงกล้าขึ้นทุกทีจนกระทั่งถึงวันได้ตั้งขึ้นมั่นคง.”—สุภาษิต 4:18, ล.ม.
16. ความสว่างฝ่ายวิญญาณบอกอะไรแก่เราเกี่ยวกับสมัยของเราเมื่อคำนึงถึงพระประสงค์ของพระเจ้า?
16 ปัจจุบัน ความสว่างฝ่ายวิญญาณส่องแสงกล้ายิ่งขึ้นทุกที เพราะพวกเราอยู่ในยุคที่คำพยากรณ์หลายเรื่องในคัมภีร์ไบเบิลได้สำเร็จเป็นจริงแล้ว หรือใกล้จะเป็นจริง. คำพยากรณ์เหล่านี้แสดงให้เราเห็นว่า พวกเรามีชีวิตอยู่ใน “สมัยสุดท้าย” แห่งระบบชั่ว. นี้แหละคือยุคที่เรียกว่า “ช่วงอวสานแห่งระบบ” ครั้นแล้ว โลกใหม่ของพระเจ้าก็จะติดตามมา. (2 ติโมเธียว 3:1-5, 13, ล.ม.; มัดธาย 24:3-13) ดังที่ดานิเอลได้พยากรณ์ว่า ในไม่ช้า ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์ของพระเจ้าจะ “ทำลายอาณาจักรอื่น ๆ [ที่ดำรงอยู่ในเวลานี้] ลงให้ย่อยยับ . . . และอาณาจักรนี้จะดำรงอยู่เป็นนิจ.”—ดานิเอล 2:44.
17, 18. คำพยากรณ์สำคัญ ๆ อะไรบ้างที่สำเร็จเป็นจริงขณะนี้?
17 คำพยากรณ์เรื่องหนึ่งในบรรดาคำพยากรณ์ที่สำเร็จเป็นจริงในขณะนี้ก็คือที่บันทึกไว้ในมัดธายบท 24 ข้อ 14. ในข้อนั้นพระเยซูตรัสไว้ว่า “ข่าวดีแห่งราชอาณาจักรนี้จะได้รับการประกาศทั่วทั้งแผ่นดินโลกที่มีคนอาศัยอยู่ เพื่อให้คำพยานแก่ทุกชาติ; แล้วอวสานจะมาถึง.” เวลานี้ พยานพระยะโฮวาหลายล้านคนกำลังทำการประกาศข่าวราชอาณาจักรอยู่แล้วทั่วแผ่นดินโลก. และประชาชนหลายแสนคนได้เข้ามาสมทบกับพวกเขาทุก ๆ ปี. ทั้งนี้ตรงกับคำพยากรณ์ที่กล่าวในยะซายา 2:2, 3 ที่ว่า “เมื่อถึงสมัยสุดท้าย” ของโลกชั่วนี้ ผู้คนจากหลายเชื้อชาติจะพากันมายังการนมัสการแท้ของพระยะโฮวา และ ‘พระองค์จะทรงสอนเขาให้รู้จักทางทั้งหลายของพระองค์ และเขาจะเดินไปตามทางของพระองค์.’
18 คนใหม่เหล่านี้กำลังหลั่งไหลมายังการนมัสการของพระยะโฮวา “ดุจเมฆ” ตามที่บอกล่วงหน้าที่ยะซายาบท 60 ข้อ 8. ข้อ 22 (ล.ม.) เสริมว่า “คนจิ๋วจะเพิ่มเป็นจำนวนพัน และคนตัวเล็กจะเพิ่มเป็นชนชาติใหญ่. เราเอง ยะโฮวา จะเร่งกระทำการนี้ในเวลาอันควร.” หลักฐานแสดงแจ้งชัดว่า เวลาอันควรนั้นได้แก่เวลานี้ทีเดียว. และบรรดาคนใหม่จะมั่นใจได้ว่า โดยการสมาคมคบหากับพยานพระยะโฮวา พวกตนก็ได้มาสัมผัสกับประชาคมคริสเตียนแท้.
19. ทำไมเราพูดว่า คนใหม่ที่สมาคมคบหากับพยานพระยะโฮวากำลังเข้ามาสู่ประชาคมคริสเตียนแท้?
19 ทำไมเราพูดเรื่องนี้ได้อย่างมั่นใจ? เพราะคนใหม่เหล่านี้ พร้อมกับหลายล้านคนที่อยู่ในองค์การของพระยะโฮวาแล้ว ได้อุทิศชีวิตแด่พระเจ้าและกระทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์อยู่ทีเดียว. ทั้งนี้หมายรวมถึงการดำรงชีวิตประสานกับกฎแห่งความรักด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า. หลักฐานประการหนึ่งของเรื่องนี้ คริสเตียนเหล่านี้ได้ตี ‘ดาบของตนเป็นผาลไถนาและตีหอกเป็นขอลิดแขนง และเขาไม่ศึกษายุทธศาสตร์อีกต่อไป.’ (ยะซายา 2:4) พยานพระยะโฮวาทุกคนทั่วโลกได้ทำเช่นนี้ก็เนื่องจากเขาสำแดงความรัก. ข้อนี้แหละทำให้พวกเขาไม่ยกอาวุธต่อสู้กันหรือต่อสู้คนหนึ่งคนใด. ในเรื่องนี้พวกเขาโดดเด่น—ไม่เหมือนศาสนาต่าง ๆ ของโลก. (โยฮัน 13:34, 35; 1 โยฮัน 3:10-12, 15) พวกเขาไม่เข้าไปมีส่วนร่วมกับลัทธิชาตินิยมที่ก่อให้เกิดการแบ่งแยก เพราะพวกเขาประกอบกันเป็นภราดรภาพทั่วโลกที่ผูกพันกันอย่างแน่นหนาด้วยความรัก “เครื่องเชื่อมสามัคคีที่ดีพร้อม.”—โกโลซาย 3:14; มัดธาย 23:8; 1 โยฮัน 4:20, 21.
คนส่วนใหญ่สมัครใจไม่อยากรู้
20, 21. ทำไมมนุษยชาติส่วนใหญ่อยู่ในความมืดฝ่ายวิญญาณ? (2 โกรินโธ 4:4; 1 โยฮัน 5:19)
20 ขณะที่ความสว่างฝ่ายวิญญาณส่องแสงเจิดจ้าท่ามกลางผู้รับใช้ของพระเจ้า ประชากรนอกนั้นของโลกกลับตกเข้าสู่ความมืดฝ่ายวิญญาณที่ทึบมากขึ้นทุกที. คนเหล่านั้นไม่รู้จักพระยะโฮวาหรือพระประสงค์ของพระองค์เลย. ผู้พยากรณ์ของพระเจ้าได้พรรณนาถึงยุคนี้เมื่อท่านบอกว่า “ดูเถอะ! ความมืดจะแผ่ปิดโลกไว้มิด, และความมืดทึบจะคลุมประชาชาติไว้.” (ยะซายา 60:2) ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะผู้คนไม่แสดงความสนใจจะเรียนรู้เรื่องพระเจ้าอย่างจริงจัง. ทั้งไม่แสดงความปรารถนาจะกระทำให้ชอบพระทัยพระองค์. พระเยซูตรัสดังนี้: “บัดนี้ หลักของการพิพากษาก็เป็นอย่างนี้ คือว่าความสว่างได้เข้ามาในโลกแล้วแต่มนุษย์ได้รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะการของเขาชั่ว. เพราะผู้ที่กระทำสิ่งชั่วย่อมชังความสว่าง และไม่ได้มาถึงความสว่าง เพื่อที่การของตนจะไม่ถูกว่ากล่าว.”—โยฮัน 3:19, 20, ล.ม.
21 บุคคลดังกล่าวไม่สนใจจะรู้จักพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างจริงจัง. ในทางกลับกัน พวกเขามุ่งที่จะดำเนินชีวิตตามอำเภอใจ. โดยการมองข้ามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า เขาก็พาตัวเองไปสู่ฐานะที่เป็นอันตราย เพราะพระวจนะของพระเจ้าแถลงว่า “คนใดที่บ่ายหูไม่ฟังพระบัญญัติ คำอธิษฐานของเขาก็เป็นที่น่าสะอิดสะเอียน.” (สุภาษิต 28:9) พวกเขาจะรับผลตามแนวทางที่เขาได้เลือกเอา. อัครสาวกเปาโลได้เขียนไว้ว่า “อย่าให้ใครชักนำท่านให้หลง: จะหลอกพระเจ้าเล่นไม่ได้. ด้วยว่าคนใดหว่านอะไรลงก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น.”—ฆะลาเตีย 6:7, ล.ม.
22. ผู้คนมากมายที่ประสงค์จะรู้จักพระเจ้ากำลังทำอะไรขณะนี้?
22 อย่างไรก็ดี มีผู้คนมากมายที่ต้องการจะรู้พระทัยประสงค์ของพระเจ้าจริง ๆ ผู้ซึ่งแสวงหาพระองค์โดยสุจริตใจ และถูกชักนำเข้ามาหาพระองค์ ดังคำพูดในยาโกโบ 4:8, (ล.ม.) “จงเข้าใกล้พระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงเข้าใกล้ท่านทั้งหลาย.” พระเยซูตรัสถึงคนประเภทนี้ว่า “ผู้ที่กระทำสิ่งซึ่งเป็นความจริงย่อมมาถึงความสว่าง เพื่อการของตนจะปรากฏว่าได้กระทำไปอย่างที่ประสานกันกับพระเจ้า.” (โยฮัน 3:21, ล.ม.) และอนาคตที่พระเจ้าทรงมุ่งหมายไว้สำหรับคนเหล่านั้นที่เข้ามาถึงความสว่างนั้นช่างวิเศษเสียนี่กระไร! เราจะพิจารณาเรื่องความคาดหวังอันน่าตื่นเต้นนี้ในบทความถัดไป.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ หลายคนพูดอย่างไรเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของชีวิต?
▫ พระยะโฮวาทรงเปิดเผยพระองค์เองอย่างไรในฐานะพระเจ้าที่มีจุดมุ่งหมาย?
▫ การให้ความกระจ่างแจ้งครั้งใหญ่เกี่ยวกับอะไรได้อุบัติขึ้นในศตวรรษแรก?
▫ สมัยนี้ เราจะรู้จักประชาคมคริสเตียนแท้ได้อย่างไร?