จงระลึกถึงพระผู้สร้างองค์ยิ่งใหญ่ของคุณ!
“บัดนี้ จงระลึกถึงพระผู้สร้างองค์ยิ่งใหญ่ของเจ้า . . . ก่อนยามทุกข์ร้อนจะมา.”—ท่านผู้ประกาศ 12:1, ล.ม.
1. หนุ่มสาวที่อุทิศตัวแด่พระเจ้าควรปรารถนาจะใช้กำลังและความหนุ่มแน่นของตนอย่างไร?
พระยะโฮวาทรงประทานกำลังแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ให้ทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์. (ยะซายา 40:28-31) ข้อนี้เป็นจริง ไม่ว่าพวกเขาอายุเท่าไร. แต่คนหนุ่มสาวที่อุทิศตัวแด่พระเจ้าควรปรารถนาเป็นพิเศษที่จะใช้กำลังและความหนุ่มแน่นของตนอย่างสุขุม. ด้วยเหตุนั้น พวกเขาใส่ใจคำแนะนำของ “ท่านผู้รวบรวม” ซึ่งก็คือกษัตริย์ซะโลโมแห่งยิศราเอลโบราณ. ท่านกระตุ้นโดยกล่าวว่า “บัดนี้ จงระลึกถึงพระผู้สร้างองค์ยิ่งใหญ่ของเจ้าในช่วงวัยหนุ่มของเจ้า ก่อนยามทุกข์ร้อนจะมา หรือปีเดือนมาถึงเมื่อเจ้าจะกล่าวว่า ‘ข้าไม่มีความชื่นใจในปีเดือนเหล่านั้นเลย.’”—ท่านผู้ประกาศ 1:1; 12:1, ล.ม.
2. ลูก ๆ ของคริสเตียนผู้อุทิศตัวควรทำอะไร?
2 คำเตือนสติของซะโลโมเกี่ยวกับการระลึกถึงพระผู้สร้างองค์ยิ่งใหญ่ในช่วงวัยหนุ่มสาว ในอันดับแรก มุ่งกล่าวต่อหนุ่มสาวชาวยิศราเอล. พวกเขาเกิดมาในชาติที่อุทิศตัวแด่พระยะโฮวา. จะว่าอย่างไรสำหรับลูก ๆ ของคริสเตียนผู้อุทิศตัวในปัจจุบัน? แน่นอน พวกเขาควรระลึกถึงพระผู้สร้างองค์ยิ่งใหญ่ของตน. ถ้าเขาทำอย่างนั้น เขาก็จะถวายพระเกียรติแด่พระองค์และตัวเขาเองก็จะได้รับประโยชน์.—ยะซายา 48:17, 18.
ตัวอย่างที่ดีจากอดีต
3. โยเซฟ, ซามูเอล, และดาวิดวางตัวอย่างอะไรไว้?
3 หนุ่มสาวหลายคนซึ่งเรื่องราวของเขามีบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลวางตัวอย่างที่ดีโดยเป็นผู้ที่ระลึกถึงพระผู้สร้างองค์ยิ่งใหญ่ของตน. ตั้งแต่ช่วงต้น ๆ ของชีวิต โยเซฟบุตรยาโคบระลึกถึงพระผู้สร้างของท่าน. เมื่อภรรยาโพติฟาล่อลวงโยเซฟให้ทำผิดศีลธรรมกับเธอ ท่านปฏิเสธอย่างหนักแน่นโดยกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะทำผิดดังนี้อย่างไรได้, เป็นบาปใหญ่หลวงนักต่อพระเจ้า.” (เยเนซิศ 39:10) ซามูเอลซึ่งอยู่ในตระกูลเลวีระลึกถึงพระผู้สร้างของท่านไม่เฉพาะในวัยเด็ก แต่ตลอดชีวิตของท่าน. (1 ซามูเอล 1:22-28; 2:18; 3:1-5) ไม่มีข้อสงสัยว่าดาวิดแห่งเบ็ธเลเฮมเมื่อยังเยาว์ได้ระลึกถึงพระผู้สร้างของท่านเสมอ. ความไว้วางใจของท่านในพระเจ้าเห็นได้ชัดเจนตอนที่ท่านออกไปเผชิญหน้ากับฆาละยัธชายร่างยักษ์ชาวฟะลิศตีมและประกาศว่า “เจ้าเข้ามาหาเราด้วยดาบและหอกยาวหอกสั้นแต่ฝ่ายเรามาหาเจ้าด้วยนามแห่งพระยะโฮวาของพลโยธาพระเจ้าแห่งกองทัพยิศราเอล, ซึ่งเจ้าได้ท้าทายนั้น. วันนี้แหละพระยะโฮวาจะทรงมอบเจ้าไว้ในมือของเรา เราจะฆ่าตัดศีรษะเสียให้ขาด . . . เพื่อบรรดาชาวโลกจะได้รู้ว่า, ชาติยิศราเอลมีพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย. ทั้งบรรดาที่ประชุมนี้จะได้รู้ว่า, พระยะโฮวาทรงช่วยให้รอด, โดยมิได้ใช้กระบี่หรือหอก, เพราะว่าการสงครามนั้นเป็นของพระยะโฮวา, พระองค์จะทรงมอบเจ้าทั้งหลายไว้ในมือของเรา.” ไม่ช้า ฆาละยัธก็ตาย และพวกฟะลิศตีมแตกหนีไป.—1 ซามูเอล 17:45-51.
4. (ก) อะไรแสดงว่าเด็กหญิงชาวยิศราเอลซึ่งเป็นเชลยในซุเรียและกษัตริย์โยซียาผู้ทรงพระเยาว์ระลึกถึงพระผู้สร้างองค์ยิ่งใหญ่ของเรา? (ข) เมื่อพระชนมายุได้ 12 พรรษา พระเยซูทรงแสดงอย่างไรว่าพระองค์ระลึกถึงพระผู้สร้างของพระองค์?
4 ผู้เยาว์อีกคนหนึ่งซึ่งระลึกถึงพระผู้สร้างองค์ยิ่งใหญ่ได้แก่เด็กหญิงชาวยิศราเอลที่เป็นเชลย. เธอให้คำพยานที่ดีแก่ภรรยาของนามานแม่ทัพแห่งซุเรียจนเขาได้ไปหาผู้พยากรณ์ของพระเจ้า ได้รับการรักษาให้หายจากโรคเรื้อน และกลายมาเป็นผู้นมัสการพระยะโฮวา. (2 กษัตริย์ 5:1-19) โยซียากษัตริย์ผู้ทรงพระเยาว์ส่งเสริมการนมัสการบริสุทธิ์ของพระยะโฮวาอย่างกล้าหาญ. (2 กษัตริย์ 22:1–23:25) แต่ตัวอย่างที่ดีที่สุดของผู้ที่ระลึกถึงพระผู้สร้างองค์ยิ่งใหญ่ของตนขณะอายุยังน้อยได้แก่พระเยซูแห่งนาซาเร็ธ. ขอพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ 12 พรรษา. บิดามารดาพาพระองค์ไปร่วมเทศกาลปัศคาที่กรุงยะรูซาเลม. ตอนขากลับ บิดามารดาสังเกตว่าพระเยซูหายไป; ทั้งสองจึงกลับไปตามหาพระองค์. ในวันที่สาม พวกเขาพบพระองค์กำลังถกปัญหาเกี่ยวกับพระคัมภีร์อยู่กับพวกอาจารย์ที่พระวิหาร. เมื่อมารดาถามด้วยความกระวนกระวาย พระเยซูทรงตอบว่า “ท่านเที่ยวหาฉันทำไม? ท่านยังไม่ทราบหรือว่า ฉันคงต้องอยู่ในราชฐานแห่งพระบิดาของฉัน?” (ลูกา 2:49) การได้รับข้อมูลที่มีค่าทางฝ่ายวิญญาณ ณ พระวิหาร ‘ราชฐานแห่งพระบิดาของพระองค์’ เป็นประโยชน์สำหรับพระเยซู. ปัจจุบัน หอประชุมราชอาณาจักรของพยานพระยะโฮวาเป็นสถานที่อันดีเยี่ยมในการรับความรู้ถ่องแท้ของพระผู้สร้างองค์ยิ่งใหญ่ของเรา.
จงระลึกถึงพระยะโฮวาในขณะนี้!
5. คุณจะกล่าวด้วยคำพูดของตัวเองอย่างไรถึงสิ่งที่ท่านผู้รวบรวมกล่าวดังบันทึกที่ท่านผู้ประกาศ 12:1?
5 ผู้นมัสการพระยะโฮวาอย่างสุดหัวใจปรารถนาจะรับใช้พระองค์ทันทีที่เป็นไปได้ และรับใช้พระเจ้าตลอดชีวิตของเขา. แต่อาจคาดหมายได้เช่นไรสำหรับคนที่ใช้วัยหนุ่มสาวของตนอย่างไร้ค่าเนื่องจากไม่ได้ระลึกถึงพระผู้สร้าง? ท่านผู้รวบรวมกล่าวภายใต้การดลใจว่า “บัดนี้ จงระลึกถึงพระผู้สร้างองค์ยิ่งใหญ่ของเจ้าในช่วงวัยหนุ่มของเจ้า ก่อนยามทุกข์ร้อนจะมา หรือปีเดือนมาถึงเมื่อเจ้าจะกล่าวว่า ‘ข้าไม่มีความชื่นใจในปีเดือนเหล่านั้นเลย.’”—ท่านผู้ประกาศ 12:1, ล.ม.
6. มีหลักฐานอะไรแสดงว่าซิมโอนและอันนาซึ่งชราแล้วระลึกถึงพระผู้สร้างองค์ยิ่งใหญ่ของตน?
6 ไม่มีใครยินดีใน “ยามทุกข์ร้อน” แห่งวัยชรา. แต่ผู้สูงอายุที่ระลึกถึงพระเจ้าอยู่เสมอมีความยินดี. ตัวอย่างเช่น ซิมโอนซึ่งชราแล้วอุ้มพระกุมารเยซูที่พระวิหารและประกาศด้วยใจยินดีว่า “โอพระเจ้าข้า, บัดนี้ขอให้ผู้ทาสของพระองค์ไปเป็นสุขตามคำของพระองค์เถิด, เพราะว่าตาของข้าพเจ้าได้เห็นความรอดของพระองค์แล้ว, ซึ่งพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้ต่อหน้าบรรดาคนทั้งปวง เป็นสว่างส่องแสงแก่ชาวต่างประเทศ และเป็นสง่าราศีของพวกยิศราเอลพลเมืองของพระองค์.” (ลูกา 2:25-32) อันนาซึ่งมีอายุได้ 84 ปีก็ระลึกถึงพระผู้สร้างของนางด้วย. นางอยู่ที่พระวิหารเสมอและอยู่ด้วยเมื่อบิดามารดานำพระเยซูไปที่นั่น. “ในขณะนั้นผู้หญิงคนนี้ก็เข้ามาโมทนาพระเจ้า, และกล่าวถึงพระกุมารนั้นให้คนทั้งปวงที่คอยท่าเวลาของกรุงยะรูซาเลมจะหลุดเป็นไทยฟัง.”—ลูกา 2:36-38.
7. สภาพของคนที่ได้รับใช้พระเจ้าจนกระทั่งเข้าสู่วัยชราเป็นเช่นไร?
7 พยานพระยะโฮวาในสมัยปัจจุบันที่รับใช้พระเจ้าจนกระทั่งเข้าสู่วัยชราอาจรู้สึกปวดเมื่อยและพบกับข้อจำกัดหลายอย่างอันเนื่องมาจากอายุที่มากแล้ว. ถึงกระนั้น พวกเขามีความสุข และเราหยั่งรู้ค่างานรับใช้อย่างซื่อสัตย์ของพวกเขามากเพียงไร! พวกเขามี “ความยินดีในพระยะโฮวา” เพราะรู้ว่าพระองค์ได้ทรงใช้ฤทธิ์อำนาจอันไม่มีใครอาจชนะได้ต่อแผ่นดินโลกนี้และได้ทรงแต่งตั้งพระเยซูคริสต์เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงฤทธิ์ทางภาคสวรรค์. (นะเฮมยา 8:10, ล.ม.) บัดนี้ เป็นเวลาสำหรับทั้งคนหนุ่มและผู้สูงอายุที่จะเอาใจใส่คำกระตุ้นเตือนนี้ที่ว่า “พวกท่านที่เป็นคนหนุ่มและทั้งหญิงสาวพรหมจารีด้วย พวกท่านที่เป็นชายแก่พร้อมกับพวกเด็กชายด้วย. จงให้พวกเขาสรรเสริญพระนามของพระยะโฮวาเถิด เพราะพระนามของพระองค์แต่พระนามเดียวสูงจนเอื้อมไม่ถึง. ศักดิ์ศรีของพระองค์อยู่เหนือแผ่นดินโลกและสวรรค์.”—บทเพลงสรรเสริญ 148:12, 13, ล.ม.
8, 9. (ก) “ยามทุกข์ร้อน” ไม่น่าชื่นชมสำหรับใคร และเหตุใดจึงเป็นอย่างนั้น? (ข) คุณจะอธิบายท่านผู้ประกาศ 12:2 อย่างไร?
8 “ยามทุกข์ร้อน” แห่งวัยชรานั้นไม่น่าชื่นชม—อาจถึงกับเป็นทุกข์มาก—สำหรับคนที่ไม่คิดถึงพระผู้สร้างองค์ยิ่งใหญ่ของตนและคนที่ไม่เข้าใจพระประสงค์อันยอดเยี่ยมของพระองค์. พวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณที่สามารถช่วยให้ทนรับความยากลำบากของวัยชราและความทุกข์ต่าง ๆ ที่รุมล้อมมนุษยชาตินับตั้งแต่ซาตานถูกเหวี่ยงออกจากสวรรค์. (วิวรณ์ 12:7-12) ดังนั้น ท่านผู้รวบรวมกระตุ้นเราให้ระลึกถึงพระผู้สร้างของเรา “ก่อนที่ดวงอาทิตย์พร้อมกับแสงสว่าง, ดวงจันทร์กับดวงดาวจะอับแสง, และก่อนที่เมฆกลับเมื่อฝนหายแล้ว.” (ท่านผู้ประกาศ 12:2) ถ้อยคำดังกล่าวหมายถึงอะไร?
9 ซะโลโมเปรียบเวลาของคนหนุ่มสาวว่าเป็นเช่นฤดูร้อนในแถบปาเลสไตน์ซึ่งเป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, และดวงดาวส่องแสงลงมาจากฟากฟ้าที่ปราศจากเมฆ. สรรพสิ่งในตอนนั้นดูสดใสมาก. แต่ในยามชรา วันเวลาของคนเราเป็นเหมือนฤดูหนาวที่มีฝนตกและหนาวเย็น พร้อมกับความลำบากต่าง ๆ นานาประดังเข้ามา. (โยบ 14:1) ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าสักเพียงไรที่รู้จักพระผู้สร้างแต่ไม่ได้รับใช้พระองค์ในช่วงฤดูร้อนแห่งชีวิต! ครั้นถึงฤดูหนาวแห่งชีวิตที่แก่ชรา สิ่งต่าง ๆ มืดมัวลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ได้ปล่อยให้โอกาสผ่านไปโดยไม่ได้รับใช้พระยะโฮวาในวัยหนุ่มสาวของตนเพราะมัวแต่หมกมุ่นในการแสวงหาที่ไร้ประโยชน์. แต่ไม่ว่าเราอายุเท่าใด ขอให้เรา ‘ติดตามพระยะโฮวาอย่างสุดใจ’ เช่นเดียวกับคาเลบผู้ซื่อสัตย์ เพื่อนร่วมงานที่ภักดีของผู้พยากรณ์โมเซ.—ยะโฮซูอะ 14:6-9, ฉบับแปลใหม่.
ผลกระทบของวัยชรา
10. คำต่อไปนี้หมายถึงอะไร? (ก) “คนดูแลบ้าน”? (ข) “ชายฉกรรจ์”?
10 ถัดจากนั้น ซะโลโมชี้ถึงความลำบาก “ในยามที่คนดูแลบ้านตัวสั่น และชายฉกรรจ์ตัวงอไป และหญิงโม่ได้เลิกทำงานเพราะพวกนางเหลือน้อย และพวกสตรีซึ่งมองที่หน้าต่างได้พบว่ามืด.” (ท่านผู้ประกาศ 12:3, ล.ม.) “บ้าน” หมายถึงร่างกายคนเรา. (มัดธาย 12:43-45; 2 โกรินโธ 5:1-8) “คนดูแล” บ้านได้แก่แขนและมือ ซึ่งปกป้องและทำหน้าที่ต่าง ๆ ที่จำเป็นให้แก่ร่างกาย. เมื่อแก่ตัวลง แขนและมือมักสั่นเทาเนื่องด้วยความอ่อนแอ, ความกังวลใจ, และเพราะไม่มีกำลัง. “ชายฉกรรจ์” คือขาทั้งสองข้าง ไม่ได้เป็นเสาหลักที่มั่นคงอีกต่อไป แต่อ่อนแรงและตัวงอจนต้องเดินลากเท้า. กระนั้น คุณมีความยินดีที่เห็นเพื่อนร่วมความเชื่อที่สูงอายุ ณ การประชุมของคริสเตียนมิใช่หรือ?
11. กล่าวโดยนัย ใครคือ “หญิงโม่” และ “พวกสตรีซึ่งมองที่หน้าต่าง”?
11 “หญิงโม่ได้เลิกทำงานเพราะพวกนางเหลือน้อย”—เป็นเช่นนี้อย่างไร? ฟันอาจผุหรือหลุดไป หากจะเหลือก็ไม่กี่ซี่. การเคี้ยวอาหารแข็งกลายเป็นเรื่องยากหรือต้องงดไปเลย. “พวกสตรีซึ่งมองที่หน้าต่าง”—ดวงตาพร้อมกับความสามารถด้านความคิดซึ่งทำให้เราเห็นได้—หากยังไม่มืดสนิท ก็เริ่มมัวลง.
12. (ก) “ประตูคู่ที่เปิดออกถนนจะปิดเสีย” อย่างไร? (ข) คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับผู้ประกาศราชอาณาจักรที่สูงอายุ?
12 ท่านผู้รวบรวมกล่าวต่อไปว่า “และประตูคู่ที่เปิดออกถนนจะปิดเสีย เมื่อเสียงโม่อ่อยลง มีเสียงนกเสียงกาเขาจะลุกขึ้น และเสียงเพลงก็เพลาลง.” (ท่านผู้ประกาศ 12:4, ฉบับแปลใหม่ [ปัญญาจารย์]) ประตูคู่แห่งปาก คือริมฝีปาก ไม่ค่อยเปิดหรือไม่เปิดอีกเลยเพื่อเผยถึงสิ่งที่อยู่ใน “บ้าน” หรือร่างกายของคนชราที่ไม่ได้รับใช้พระเจ้า. ไม่มีสิ่งใดถูกส่งออกไปยัง “ถนน” แห่งชีวิตในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสาธารณชน. ทว่า จะว่าอย่างไรสำหรับผู้ประกาศราชอาณาจักรที่สูงอายุซึ่งมีใจแรงกล้า? (โยบ 41:14) พวกเขาอาจเดินช้า ๆ จากบ้านหนึ่งไปอีกบ้านหนึ่งและบางคนอาจพูดด้วยความยากลำบาก แต่พวกเขาสรรเสริญพระยะโฮวาอย่างแน่นอน!—บทเพลงสรรเสริญ 113:1.
13. ท่านผู้รวบรวมพรรณนาอย่างไรเกี่ยวกับปัญหาอื่น ๆ ที่ผู้สูงอายุประสบ แต่เป็นจริงเช่นไรกับคริสเตียนสูงอายุ?
13 เสียงโม่เริ่มอ่อยลงขณะที่อาหารถูกเคี้ยวด้วยเหงือกที่ไร้ฟัน. บนเตียงนอน คนแก่นอนหลับไม่สนิท. แม้แต่เสียงนกร้องก็รบกวนเขา. เขาร้องเพลงอยู่ไม่กี่เพลง และเสียงเพลงที่เขาเปล่งออกมาก็ไม่มีพลัง. “เสียงเพลงก็เพลาลง.” เมื่อคนอื่นร้องเพลงหรือเล่นดนตรี ผู้สูงอายุก็ไม่ค่อยได้ยินชัด. อย่างไรก็ตาม ผู้ถูกเจิมที่สูงอายุและเพื่อน ๆ ของเขาซึ่งบางคนอายุมากแล้วเหมือนกัน ยังคงเปล่งเสียงร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าเสมอ ณ การประชุมของคริสเตียน. เรารู้สึกยินดีสักเพียงไรที่มีพวกเขาอยู่ข้าง ๆ ร่วมสรรเสริญเยินยอพระยะโฮวาด้วยกันในประชาคม!—บทเพลงสรรเสริญ 149:1.
14. ผู้สูงอายุกลัวอะไร?
14 วิถีชีวิตของคนแก่ โดยเฉพาะคนที่ได้เพิกเฉยต่อพระผู้สร้าง ช่างน่าเศร้าเสียจริง! ท่านผู้รวบรวมกล่าวว่า “นอกจากนั้น พวกเขากลัวแม้แต่ที่สูง และมีสิ่งน่าหวาดกลัวตามหนทาง. และต้นอัลมอนด์มีดอกและตั๊กแตนเดินลากขา และลูกเคเปอร์ก็แตก เพราะมนุษย์กำลังเดินไปสู่บ้านที่ต้องอยู่ยาวนานและผู้ร่ำไห้เดินไปมาตามถนนแล้ว.” (ท่านผู้ประกาศ 12:5, ล.ม.) เมื่ออยู่ที่หัวบันไดสูง ๆ ผู้สูงอายุหลายคนกลัวตกบันได. เพียงแค่มองอะไรสูง ๆ ก็อาจทำให้พวกเขารู้สึกหน้ามืดตาลาย. เมื่อพวกเขาต้องออกไปที่ถนนซึ่งมีคนมาก ๆ พวกเขารู้สึกหวาดผวากับความคิดที่ว่าอาจถูกคนร้ายเข้าปล้นชิง.
15. “ต้นอัลมอนด์มีดอก” อย่างไร และตั๊กแตน “เดินลากขา” อย่างไร?
15 ในกรณีของคนแก่ เห็นได้ชัดว่า “ต้นอัลมอนด์มีดอก” หมายถึงผมที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดอกเลาแล้วก็ขาวโพลนไปทั้งศีรษะ. ผมหงอกขาวหลุดร่วงเหมือนดอกขาวของต้นอัลมอนด์. ขณะที่เขา “เดินลากขา” ตัวเขาอาจโค้งงอ แขนห้อยอยู่ข้างตัวหรือมือเท้าสะเอวข้อศอกกางตั้ง ดูคล้ายกับตั๊กแตน. แต่หากมีใครในพวกเราที่มีลักษณะคล้าย ๆ อย่างนั้น คนอื่นก็น่าจะระลึกว่าพวกเราอยู่ในกองทัพตั๊กแตนที่ว่องไวและขะมักเขม้นของพระยะโฮวา!—โปรดดูหอสังเกตการณ์ 1 พฤษภาคม 1998 หน้า 8-13.
16. (ก) ‘การแตกของลูกเคเปอร์’ หมายถึงอะไร? (ข) “บ้านที่ต้องอยู่ยาวนาน” ของมนุษย์คืออะไร และสัญญาณแห่งความตายที่คืบใกล้เข้ามาอะไรบ้างซึ่งเริ่มเห็นได้ชัด?
16 ผู้สูงอายุไม่ค่อยเจริญอาหาร ถึงแม้อาหารที่วางอยู่ต่อหน้าเขาจะมีรสชาติอร่อยเหมือนกับลูกเคเปอร์. ได้มีการใช้ผลไม้นี้กันมานานแล้วเพื่อกระตุ้นให้เจริญอาหาร. ‘การแตกของลูกเคเปอร์’ ส่อนัยว่าเมื่อความอยากอาหารของผู้สูงอายุลดน้อยลง แม้แต่ผลไม้นี้ก็ไม่สามารถกระตุ้นให้เขาเจริญอาหาร. ลักษณะต่าง ๆ ดังที่ได้กล่าวไปบ่งบอกว่าเขากำลังใกล้จะไปถึง “บ้านที่ต้องอยู่ยาวนาน” คือหลุมฝังศพ. ที่แห่งนี้จะเป็นบ้านถาวรของเขาไปตลอดกาลหากเขาไม่ได้ระลึกถึงพระผู้สร้างของเขา และประพฤติในแนวทางที่ชั่วร้ายจนพระเจ้าไม่ทรงระลึกถึงเขาในการกลับเป็นขึ้นจากตาย. สัญญาณต่าง ๆ ของความตายที่คืบใกล้เข้ามาเห็นได้จากสุ้มเสียงหม่นเศร้าและเสียงบ่นครวญที่ออกจากปากของผู้สูงอายุ.
17. “สายเงิน” ขาดอย่างไร และ “ชามทองคำ” อาจหมายถึงอะไร?
17 เราได้รับการกระตุ้นให้ระลึกถึงพระผู้สร้างของเรา “ก่อนที่สายเงินจะขาด หรือชามทองคำจะบรรลัย หรือเหยือกน้ำจะแตกเสียที่น้ำพุ หรือล้อจะหักเสีย ณ ที่ขังน้ำ.” (ท่านผู้ประกาศ 12:6, ฉบับแปลใหม่ [ปัญญาจารย์]) “สายเงิน” อาจหมายถึงไขสันหลัง. ความตายเป็นเรื่องแน่นอนเมื่อทางผ่านอันน่าอัศจรรย์ของสัญญาณประสาทไปสู่สมองทางนี้เสียหายจนไม่อาจแก้ไขได้. “ชามทองคำ” อาจหมายถึงสมองที่บรรจุอยู่ในกะโหลกศีรษะรูปร่างคล้ายชาม ซึ่งเชื่อมต่ออยู่กับไขสันหลัง. ด้วยค่าที่สูงดุจทองคำ สมองหยุดทำงานเมื่อไรความตายก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น.
18. “เหยือกน้ำ . . . ที่น้ำพุ” โดยนัยหมายถึงอะไร และเกิดอะไรขึ้นเมื่อเหยือกน้ำนี้แตก?
18 “เหยือกน้ำ . . . ที่น้ำพุ” คือหัวใจซึ่งรับกระแสโลหิตเข้ามาและส่งออกไปอีกครั้งให้ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย. เมื่อคนเราตาย หัวใจกลายเป็นเหมือนเหยือกที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ที่น้ำพุ เพราะมันไม่สามารถรับ, บรรจุ, และสูบฉีดโลหิตซึ่งจำเป็นต่อการบำรุงเลี้ยงและทำให้ร่างกายสดชื่นได้อีกต่อไป. ‘ล้อซึ่งหักเสีย ณ ที่ขังน้ำ’ หยุดหมุน ทำให้การไหลเวียนของโลหิตซึ่งค้ำจุนชีวิตหยุดชะงักลง. โดยวิธีนี้ พระยะโฮวาทรงเปิดเผยเกี่ยวกับการไหลเวียนโลหิตให้ซะโลโมทราบเป็นเวลานานแล้วก่อนที่นายแพทย์วิลเลียม ฮาร์วีย์ แห่งศตวรรษที่ 17 จะแสดงให้เห็นว่าโลหิตมีการไหลเวียน.
19. ถ้อยคำที่ท่านผู้ประกาศ 12:7 เป็นจริงอย่างไรเมื่อคนเราเสียชีวิต?
19 ท่านผู้รวบรวมกล่าวอีกว่า “และผงคลีกลับไปเป็นดินอย่างเดิม และจิตวิญญาณ [“วิญญาณ,” ล.ม.] กลับไปสู่พระเจ้าผู้ประทานให้มานั้น.” (ท่านผู้ประกาศ 12:7, ฉบับแปลใหม่ [ปัญญาจารย์]) เมื่อ “ล้อ” หัก ร่างกายมนุษย์ซึ่งเดิมสร้างขึ้นมาจากผงคลีก็กลับเป็นผงคลี. (เยเนซิศ 2:7; 3:19) จิตวิญญาณตายเพราะวิญญาณ หรือพลังแห่งชีวิตซึ่งพระเจ้าทรงประทานให้ กลับไปและอยู่กับพระผู้สร้างของเรา.—ยะเอศเคล 18:4, 20; ยาโกโบ 2:26.
มีอนาคตอะไรสำหรับคนที่ระลึกถึง?
20. โมเซทูลขออะไรเมื่อท่านอธิษฐานดังบันทึกไว้ที่บทเพลงสรรเสริญ 90:12?
20 ซะโลโมแสดงไว้อย่างดียิ่งว่าสำคัญเพียงไรที่จะระลึกถึงพระผู้สร้างองค์ยิ่งใหญ่ของเรา. แน่นอน ชีวิตที่ค่อนข้างสั้นและลำบากไม่ใช่ทั้งหมดที่มีอยู่สำหรับคนที่ระลึกถึงพระยะโฮวาเสมอและประพฤติตามพระทัยประสงค์ของพระองค์อย่างสุดใจ. ไม่ว่าเขายังหนุ่มหรือสูงอายุแล้ว เขามีเจตคติแบบเดียวกับโมเซ ซึ่งอธิษฐานว่า “ขอทรงโปรดสอนให้ข้าพเจ้านับวันคืนทั้งหลายของพวกข้าพเจ้าเป็น, เพื่อจะได้มีใจประกอบไปด้วยสติปัญญา.” ผู้พยากรณ์ที่ถ่อมใจของพระเจ้าผู้นี้ปรารถนาอย่างจริงจังให้พระยะโฮวาทรงแสดงแก่ท่านหรือสอนท่านและไพร่พลชาวยิศราเอลให้ใช้สติปัญญาในการประเมินค่า ‘วันคืนทั้งหลายของเขา’ และใช้เวลาของตนอย่างเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า.—บทเพลงสรรเสริญ 90:10, 12.
21. เพื่อที่เราจะนับวันคืนทั้งหลายของเราในการถวายพระเกียรติแด่พระยะโฮวา เราต้องทำอะไร?
21 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คริสเตียนหนุ่มสาวควรตั้งใจแน่วแน่จะเอาใจใส่คำแนะนำของท่านผู้รวบรวมในการระลึกถึงพระผู้สร้าง. พวกเขาช่างมีโอกาสอันยอดเยี่ยมเพียงไรที่จะถวายการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์แด่พระเจ้า! แต่ไม่ว่าอายุเราเท่าไร หากเราเรียนรู้ที่จะนับวันคืนทั้งหลายของเราในการถวายพระเกียรติแด่พระยะโฮวาใน “เวลาอวสาน” นี้ เราก็อาจจะนับวันคืนทั้งหลายของเราได้ตลอดไป. (ดานิเอล 12:4, ล.ม.; โยฮัน 17:3) แน่นอน เพื่อจะทำอย่างนั้น เราต้องระลึกถึงพระผู้สร้างองค์ยิ่งใหญ่ของเรา. เราต้องทำตามพันธะทั้งสิ้นของเราต่อพระเจ้าด้วย.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ เหตุใดจึงมีการกระตุ้นให้คนหนุ่มสาวระลึกถึงพระผู้สร้างของตน?
▫ มีตัวอย่างของใครบ้างในพระคัมภีร์ที่ระลึกถึงพระผู้สร้างองค์ยิ่งใหญ่ของตน?
▫ ตามที่ซะโลโมพรรณนาไว้ วัยชราก่อผลกระทบอะไรบ้าง?
▫ อนาคตเช่นไรมีไว้สำหรับคนที่ระลึกถึงพระยะโฮวา?
[รูปภาพหน้า 15]
ดาวิด, เด็กหญิงชาวยิศราเอลที่เป็นเชลย, อันนา, และซิมโอนระลึกถึงพระยะโฮวา
[รูปภาพหน้า 16]
พยานพระยะโฮวาที่สูงอายุถวายการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์ด้วยความยินดีแด่พระผู้สร้างองค์ยิ่งใหญ่ของเรา