เรื่องราวชีวิตจริง
ตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะรับใช้พระผู้สร้างของฉันเรื่อยไป
เล่าโดยกอนสแตนซ์ เบนันตี
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเร็วมาก! คามิลล์ลูกสาวของฉันวัย 1 ขวบ 10 เดือนเป็นไข้สูงและแค่ช่วงหกวันเท่านั้นก็เสียชีวิต. ฉันทนความเศร้าโศกเสียใจแทบไม่ไหว. ฉันอยากจะตายตามไปด้วย. ทำไมพระเจ้ายอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้? ฉันรู้สึกสับสนวุ่นวายใจเสียจริง ๆ.
พ่อแม่ของฉันเป็นผู้ย้ายถิ่นจากเมืองกาสเตลลามมาเร เดล โกลโฟ เมืองหนึ่งในเกาะซิซิลี ประเทศอิตาลี. ท่านทั้งสองมาอยู่ที่นครนิวยอร์ก ที่ซึ่งฉันเกิดเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 1908. ครอบครัวเรามีพ่อแม่พร้อมด้วยลูกแปดคน ลูกชายห้าคนและลูกสาวสามคน.a
ในปี 1927 พ่อฉันคือซานโต คาทันซาโร ได้เริ่มเข้าร่วมประชุมกับกลุ่มเล็ก ๆ ของนักศึกษาพระคัมภีร์ ชื่อเรียกพยานพระยะโฮวาสมัยนั้น. บราเดอร์โจวานนี เดเชกกา ชาวอิตาลีซึ่งรับใช้ ณ สำนักงานใหญ่ (ที่เรียกว่าเบเธล) ในบรุกลิน นิวยอร์ก ได้จัดการประชุมใกล้บ้านของเราในรัฐนิวเจอร์ซีย์. ต่อมา พ่อก็เริ่มทำงานเผยแพร่และทำงานรับใช้เต็มเวลา ท่านได้ทำงานด้านนี้เรื่อยมากระทั่งสิ้นชีวิตในปี 1953.
ตอนที่แม่อยู่ในวัยสาว แม่อยากบวชเป็นชี แต่คุณตาคุณยายไม่อนุญาต. ทีแรก ฉันคล้อยตามแม่ คือไม่ยอมร่วมการศึกษาพระคัมภีร์กับพ่อ. แต่ในเวลาต่อมา ฉันสังเกตเห็นพ่อเปลี่ยนไป. ท่านอารมณ์เย็นลง, อ่อนโยนกว่าเดิม, และมีความสงบสุขในครอบครัวมากขึ้น. ฉันชอบสภาพแบบนั้น.
ในระหว่างนั้น ฉันได้พบชาลส์ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉัน เขาเกิดที่บรุกลิน. ครอบครัวของเขามาจากเกาะซิซิลีเหมือนครอบครัวฉัน. ไม่นานเราก็หมั้นกัน และได้แต่งงานหลังจากพ่อกลับจากการประชุมใหญ่ของพยานพระยะโฮวาในปี 1931 ที่เมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ. ภายในหนึ่งปี คามิลล์ลูกสาวของเราก็คลอด. เมื่อลูกตาย ฉันระทมทุกข์จนไม่มีอะไรจะปลอบโยนฉันได้. วันหนึ่ง ชาลส์พูดทั้งน้ำตาอาบหน้าว่า “คามิลล์เป็นลูกสาวของผม เช่นเดียวกับที่เป็นลูกสาวของคุณ. ชีวิตเราน่าจะดำเนินต่อไป ปลอบประโลมกันและกันไม่ดีกว่าหรือ?”
เรารับรองเอาความจริงของคัมภีร์ไบเบิล
ชาลส์เตือนฉันให้นึกถึงคำบรรยาย ณ งานศพของคามิลล์ที่พ่อได้พูดถึงความหวังเกี่ยวกับการเป็นขึ้นจากตาย. ฉันถามเขาว่า “คุณเชื่อการเป็นขึ้นจากตายจริง ๆ หรือ?”
เขาตอบว่า “ผมเชื่อ! ดีไหมถ้าเราเรียนรู้ให้มากขึ้นว่าคัมภีร์ไบเบิลสอนอย่างไรในเรื่องนี้?”
คืนนั้นฉันนอนไม่หลับ. พอหกโมงเช้าก่อนพ่อออกไปทำงาน ฉันเข้าไปหาพ่อและบอกว่าชาลส์กับฉันต้องการศึกษาพระคัมภีร์. พ่อดีใจมากและกอดฉัน. แม่ยังนอนอยู่ ได้ยินเสียงเราพูดกัน. แม่ถามฉันว่าเกิดอะไรขึ้น. ฉันตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เพียงแต่ว่าชาลส์กับลูกได้ตัดสินใจจะศึกษาพระคัมภีร์ค่ะ.”
“จำเป็นแล้วล่ะที่พวกเราทุกคนจะศึกษาคัมภีร์ไบเบิล” นั่นคือคำตอบของแม่. ดังนั้น พวกเราทั้งพี่ ๆ น้อง ๆ ผู้ชายผู้หญิงรวม 11 คนจึงได้เริ่มศึกษาพระคัมภีร์ด้วยกันฐานะเป็นครอบครัว.
การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลได้ปลอบประโลมฉัน และความหวังก็ค่อย ๆ ซึมซาบเข้ามาสู่จิตใจอันสับสนว้าวุ่นและหมองเศร้า. หนึ่งปีต่อมา ในปี 1935 ชาลส์กับฉันก็เริ่มบอกเล่าความจริงแก่คนอื่น. เดือนกุมภาพันธ์ 1937 ภายหลังการฟังคำบรรยาย ณ สำนักงานใหญ่ในบรุกลินเกี่ยวกับนัยสำคัญของการรับบัพติสมาตามหลักพระคัมภีร์ เราก็ได้รับบัพติสมาในสระน้ำของโรงแรมซึ่งอยู่ไม่ไกล และพร้อมกับอีกหลายคน. ฉันดำเนินมาถึงขั้นนี้ไม่ใช่เพียงเพราะหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้พบลูกสาวอีก แต่เนื่องจากฉันต้องการรับใช้พระผู้สร้าง ผู้ซึ่งฉันได้มารู้จักและรักพระองค์ด้วย.
เข้าสู่งานเผยแพร่เต็มเวลา
การพูดคุยกับผู้อื่นถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้นั้นน่าตื่นเต้นและได้รับผลตอบแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื่องจากสมัยนั้นมีหลายคนตอบรับข่าวสารเรื่องราชอาณาจักรและมีส่วนร่วมในงานประกาศ. (มัดธาย 9:37) ในปี 1941 ฉันกับชาลส์สมัครเป็นไพโอเนียร์ ซึ่งเป็นชื่อที่พยานพระยะโฮวาเรียกผู้ประกาศเผยแพร่เต็มเวลา. หลังจากนั้นไม่นาน เราซื้อรถพ่วง และชาลส์ได้ลาออกจากโรงงานตัดเย็บกางเกงซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว และมอบให้แฟรงก์น้องชายของฉันดูแล. ต่อมา เรารู้สึกตื่นเต้นดีใจเมื่อได้รับจดหมายแจ้งการถูกแต่งตั้งเป็นไพโอเนียร์พิเศษ. เริ่มแรก เรารับใช้ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ และทีหลังถูกส่งไปที่รัฐนิวยอร์ก.
ปี 1946 ขณะเข้าร่วมการประชุมภาคในเมืองบัลติมอร์ รัฐแมรีแลนด์ เราได้รับแจ้งให้ไปรายงานตัว ณ การประชุมต่อผู้แทนพิเศษของพยานพระยะโฮวา. ที่นั่นเราได้พบนาทาน เอช. นอรร์และมิลตัน จี. เฮนเชล. ท่านพูดกับเราเรื่องงานมิชชันนารี และโดยเฉพาะงานเผยแพร่ในประเทศอิตาลี. ท่านได้เชิญเราให้ใคร่ครวญถึงโอกาสอันเป็นไปได้ที่จะเข้าโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียด.
ท่านบอกเราว่า “คุณเอาเรื่องนี้ไปคิดดูก่อน แล้วค่อยให้คำตอบ.” พอพ้นห้องทำงานออกมา เราต่างก็มองหน้ากัน แล้วเดินกลับไปที่ห้องนั้นทันที. เราพูดว่า “เราคิดดูแล้ว เราพร้อมจะไปเรียนที่กิเลียด.” สิบวันหลังจากนั้น เราก็ได้เข้าเรียนในรุ่นที่เจ็ดของโรงเรียนกิเลียด.
เราจะลืมเสียมิได้ที่เราได้รับการอบรมตลอดหลายเดือน. สิ่งที่ประทับใจเราเป็นพิเศษได้แก่ความเพียรอดทนและความรักของผู้สอน ซึ่งเตรียมเราให้พร้อมเผชิญความยากลำบากในเขตงานต่างแดน. ครั้นจบหลักสูตรในเดือนกรกฎาคม 1946 เราได้รับมอบหมายให้ทำงานประกาศระยะหนึ่งในนครนิวยอร์ก ย่านที่มีประชากรอิตาลีอาศัยอยู่มากพอสมควร. แล้ววันสำคัญอันน่าตื่นเต้นก็มาถึง! วันที่ 25 มิถุนายน 1947 เราออกเดินทางไปอิตาลี เขตงานมิชชันนารีของเรา.
ปักหลักอยู่ในเขตมอบหมาย
เราโดยสารเรือที่ถูกใช้ในราชการทหารมาก่อน. หลังจากแล่นเรือข้ามมหาสมุทร 14 วัน เรือก็เข้าเทียบท่าที่เมืองเจนัว ประเทศอิตาลี. เรามองเห็นซากตัวเมืองเสียหายยับเยินจากการสู้รบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเพิ่งสงบไปก่อนหน้านี้เพียงสองปี. ยกตัวอย่าง กระจกหน้าต่างที่สถานีรถไฟไม่มีเหลือเลยเพราะการทิ้งระเบิด. จากเมืองเจนัว เรานั่งรถไฟขนสินค้าต่อไปยังเมืองมิลาน ซึ่งสำนักงานสาขาและบ้านมิชชันนารีตั้งอยู่ที่นั่น.
ยุคหลังสงคราม สภาพความเป็นอยู่ในอิตาลีแย่มาก. บ้านเมืองอยู่ในระหว่างฟื้นฟูบูรณะ ทว่าความยากจนยังแพร่หลายอยู่ทั่วไป. มิช้ามินาน สุขภาพร่างกายฉันเริ่มเป็นปัญหา. ตามที่นายแพทย์คนหนึ่งบอกภาวะหัวใจฉันไม่สู้จะดีเท่าที่ควร เขาคิดว่าคงจะดีกว่าถ้าฉันกลับไปสหรัฐ. ฉันดีใจที่เขาวินิจฉัยโรคไม่ถูก. เวลาล่วงผ่านไป 58 ปี ฉันยังอยู่ในเขตงานมอบหมายของฉันในอิตาลี.
เราไปอยู่ในเขตงานมอบหมายเพียงไม่กี่ปี พวกน้องชายของฉันในประเทศสหรัฐอยากซื้อรถยนต์ให้เราใช้. แต่ชาลส์ตอบปฏิเสธอย่างนุ่มนวลสำหรับสิ่งที่น้อง ๆ เสนอ ฉันพอใจกับการตัดสินใจครั้งนั้น. เท่าที่เรารู้ ไม่มีพยานฯ คนใดในอิตาลีสมัยนั้นมีรถยนต์ใช้ และชาลส์ตระหนักว่าดีที่สุดหากเราจัดมาตรฐานความเป็นอยู่ในระดับเดียวกันกับบรรดาพี่น้องคริสเตียนของเรา. กระทั่งมาในปี 1961 เราถึงได้มีรถยนต์เล็กคันหนึ่ง.
หอประชุมแห่งแรกของพวกเราในมิลานเป็นห้องใต้ถุน พื้นห้องเป็นดิน. ไม่มีห้องน้ำ พอฝนตกทีไรก็มีน้ำเฉอะแฉะบนพื้น เพราะไม่มีท่อระบายน้ำ. นอกจากนั้น เรามีหนูตัวเล็ก ๆ วิ่งพล่านไปมาเป็นเพื่อน. เวลาประชุม มีหลอดไฟฟ้าเพียงสองดวงให้ความสว่าง. ทั้ง ๆ ที่ไม่สะดวกสบายหลายอย่าง แต่เราก็มีกำลังใจเมื่อเห็นบุคคลผู้จริงใจมายังการประชุมของเราและในที่สุดได้สมทบกับเราในงานประกาศ.
ประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตมิชชันนารี
ครั้งหนึ่ง เราฝากหนังสือเล่มเล็กสันติภาพ—จะยืนยงไหม? ไว้กับชายคนหนึ่ง. ตอนลากลับ ซานตีนา ภรรยาของเขากำลังเข้าบ้านพร้อมกับถุงของชำพะรุงพะรัง. เธอแสดงสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก และพูดว่าเธอต้องดูแลลูกสาวแปดคนและไม่มีเวลาว่างเลย. เมื่อฉันกลับไปเยี่ยมซานตีนาอีก สามีของเธอออกไปข้างนอก และเธอกำลังถักไหมพรมอยู่. เธอพูดว่า “ฉันไม่มีเวลาจะฟังคุณ นอกจากนั้น ฉันอ่านหนังสือไม่ออก.”
ฉันอธิษฐานเงียบ ๆ ทูลพระยะโฮวา แล้วถามเธอว่าจะถักเสื้อสเวตเตอร์สำหรับสามีฉันได้ไหม ฉันยินดีจ่ายค่าถัก. สองสัปดาห์ต่อมา ฉันได้เสื้อสเวตเตอร์และซานตีนาก็เริ่มศึกษาพระคัมภีร์กับฉันเป็นประจำ เราศึกษาจากหนังสือ “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ.” ซานตีนาฝึกเรียนจนอ่านได้ และแม้สามีต่อต้าน แต่เธอก็ก้าวหน้าและได้รับบัพติสมา. ลูกสาวห้าคนของเธอเข้ามาเป็นพยานฯ และซานตีนายังได้ช่วยอีกหลายคนรับเอาความจริงของคัมภีร์ไบเบิล.
เดือนมีนาคม 1951 ฉันกับชาลส์พร้อมด้วยมิชชันนารีอีกสองคนคือรูท แคนนอนbและลอยซ์ แกลาแฮน ซึ่งต่อมาได้แต่งงานกับบิล เวนเกิร์ต ถูกย้ายไปยังเบรเชีย เมืองที่ยังไม่มีพยานฯ. เราหาเช่าอพาร์ตเมนต์ที่มีเครื่องเรือนพร้อม แต่สองเดือนหลังจากนั้น เจ้าของห้องเช่าให้เราย้ายออกภายใน 24 ชั่วโมง. เนื่องจากไม่มีพยานฯ ในละแวกนั้น เราจึงต้องไปเช่าโรงแรมอยู่นานเกือบสองเดือน.
เราจำกัดเรื่องอาหารการกินของเรา เช่น อาหารมื้อเช้า มีเพียงกาแฟคาปูชิโนและครัวซอง, อาหารมื้อเที่ยงและมื้อเย็นของเราก็มีผลไม้และขนมปังกรอบกับเนยแข็ง. แม้ไม่มีความสะดวกสบายอยู่บ้าง แต่เราก็มีความสุขและได้รับพระพรอย่างแท้จริง. ต่อมา เราหาอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ได้ และวันประชุมอนุสรณ์ระลึกการวายพระชนม์ของพระคริสต์ในปี 1952 ปรากฏว่ามี 35 คนอยู่พร้อมหน้ากันในห้องเล็กซึ่งเราใช้เป็นหอประชุมราชอาณาจักร.
รับมือความยากลำบาก
ในช่วงเวลานั้น นักบวชนิกายโรมันคาทอลิกยังมีอิทธิพลมากเหนือประชาชน. ยกตัวอย่าง ขณะที่เราทำการเผยแพร่ในเมืองเบรเชีย เด็กผู้ชายบางคนถูกบาทหลวงยุยงให้ขว้างปาก้อนหินใส่เรา. อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมามี 16 คนเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพวกเรา และเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ พวกเขาได้เข้ามาเป็นพยานฯ. และมีใครบ้างล่ะท่ามกลางคนเหล่านั้น? เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ขู่จะปาก้อนหินใส่เรานั่นเอง! เวลานี้เขารับใช้ฐานะผู้ปกครองในประชาคมแห่งหนึ่งที่เมืองเบรเชีย. ปี 1955 ตอนที่เราออกจากเบรเชีย มีผู้ประกาศราชอาณาจักร 40 คนร่วมทำงานประกาศเผยแพร่ที่นั่น.
หลังจากนั้น เรารับใช้เผยแพร่ในเมืองเลกฮอร์น (ลิวอร์โน) นานสามปี ซึ่งพยานฯ ส่วนใหญ่ในเมืองนี้เป็นผู้หญิง. ทั้งนี้หมายความว่าพวกเราพี่น้องหญิงต้องดูแลทำหลายหน้าที่ในประชาคมซึ่งปกติแล้วเป็นงานมอบหมายของพี่น้องชาย. จากนั้น เราย้ายไปที่เจนัว ซึ่งเราเคยเริ่มงานที่นี่เมื่อ 11 ปีก่อน. มาตอนนี้ มีการตั้งประชาคมขึ้นแล้ว. หอประชุมอยู่ชั้นล่างของอพาร์ตเมนต์ที่เราอาศัยอยู่.
ทันทีที่ไปถึงเมืองเจนัว ฉันก็เริ่มการศึกษากับสตรีซึ่งสามีเป็นทั้งอดีตนักมวยและผู้จัดการค่ายมวย. สตรีผู้นี้ก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณและไม่นานเท่าไรเธอก็กลายมาเป็นพี่น้องคริสเตียนพยานฯ. อย่างไรก็ตาม สามีได้ต่อต้านและขัดขวางเป็นเวลาหลายปี. ครั้นแล้วเขาเริ่มไปกับภรรยายังการประชุมต่าง ๆ. แทนที่จะเข้าไปในหอประชุม เขานั่งฟังจากข้างนอก. หลังจากเราย้ายไปจากเมืองเจนัวแล้ว จึงรู้ว่าผู้ชายคนนี้ขอศึกษาพระคัมภีร์. ต่อมาเขาได้รับบัพติสมาและกลายมาเป็นคริสเตียนผู้ดูแลที่เปี่ยมด้วยความรัก. เขารักษาความซื่อสัตย์ตราบจนวันตาย.
นอกจากนั้น ฉันได้นำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับผู้หญิงซึ่งรับหมั้นแล้วกับตำรวจ. ทีแรก เขาแสดงความสนใจอยู่บ้าง แต่หลังจากแต่งงาน ท่าทีเขาเปลี่ยนไป. เขาต่อต้านภรรยา และเธอเลิกศึกษา. ภายหลังเมื่อเธอกลับมาศึกษาใหม่ สามีขู่ว่าถ้ายังพบเราศึกษาอยู่ละก็ เขาจะฆ่าเสียทั้งสองคน. แต่เธอก็ก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณและเข้ามาเป็นพยานฯ ที่รับบัพติสมา. แน่นอน เขาไม่ได้ฆ่าเรา. ที่จริง หลายปีต่อมา ตอนเข้าร่วมการประชุมหมวดที่เมืองเจนัว มีคนมายืนอยู่ข้างหลัง เอามือปิดตาฉันไว้ และให้ฉันเดาว่าเป็นใคร. ฉันกลั้นน้ำตาไม่อยู่เมื่อรู้ว่าเขาคือสามีของผู้หญิงคนดังกล่าว. หลังจากสวมกอดฉันแล้ว เขาเล่าว่าเขาแสดงสัญลักษณ์การอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาด้วยการรับบัพติสมา ณ วันนั้นเอง!
ช่วงปี 1964 ถึง 1972 ฉันมีสิทธิพิเศษได้ร่วมเดินทางไปกับชาลส์เมื่อเขาเยี่ยมให้การเสริมกำลังฝ่ายวิญญาณแก่ประชาคมต่าง ๆ. เราปฏิบัติงานเกือบทั่วภาคเหนือของอิตาลี—ในปีดมอนต์, ลอมบาร์ดี, และลิกูเรีย. แล้วเรากลับมารับใช้ฐานะไพโอเนียร์อีกใกล้เมืองฟลอเรนซ์ และจากนั้นก็ที่เมืองแวร์เซลลี. ในปี 1977 มีเพียงประชาคมเดียวในแวร์เซลลี แต่ตอนที่เราละจากที่นั่นไปเมื่อปี 1999 มีสามประชาคม. ปีนั้น ฉันมีอายุ 91 ปี และเราได้รับการสนับสนุนให้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านมิชชันนารีที่กรุงโรม เป็นบ้านหลังเล็กสวยงามในบริเวณที่ค่อนข้างสงบเงียบ.
เศร้าใจอีกวาระหนึ่ง
ในเดือนมีนาคม 2002 ชาลส์ซึ่งเคยเป็นคนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงเสมอ แต่ได้ล้มป่วยกะทันหัน. สุขภาพเขาแย่ลงเรื่อย ๆ กระทั่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2002. เราร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดชีวิตสมรสอันยาวนาน 71 ปี ยามเศร้าโศกเราร้องไห้ด้วยกัน และยามสุขสบายเราก็ชื่นชมยินดีด้วยกัน. การตายของเขาเป็นความสูญเสียและโศกเศร้าอย่างยิ่งสำหรับฉัน.
ฉันมักจะนึกถึงภาพชาลส์ในชุดเสื้อนอกติดกระดุมสองแถว สวมหมวกสักหลาดซึ่งนิยมใช้กันในช่วงทศวรรษ 1930. ฉันวาดมโนภาพรอยยิ้มของเขา หรือแว่วเสียงหัวเราะที่เจนหู. ด้วยการอุปถัมภ์ค้ำจุนของพระยะโฮวาและความรักของพี่น้องคริสเตียนชายหญิงมากมายหลายคน ฉันจึงสามารถอดทนผ่านพ้นช่วงที่เผชิญความโศกเศร้านี้ได้. ฉันเฝ้าคอยด้วยใจจดจ่อว่าจะพบชาลส์อีก.
ทำงานรับใช้ต่อ ๆ ไป
การรับใช้พระผู้สร้างของฉันเป็นเรื่องวิเศษสุดในชีวิตฉัน. ตลอดเวลาหลายปี ‘ฉันได้ชิมดูและรู้ว่าพระยะโฮวาเป็นผู้ประเสริฐ.’ (บทเพลงสรรเสริญ 34:8) ฉันรู้สึกซาบซึ้งในความรักของพระองค์และประสบด้วยตัวเองเกี่ยวกับความใฝ่พระทัยของพระองค์. ถึงแม้ฉันสูญเสียลูกสาวไป แต่พระยะโฮวาก็ได้ประทานลูกชายลูกสาวฝ่ายวิญญาณอีกหลายคนให้ฉัน—อยู่ทั่วอิตาลี—บุตรชายหญิงเหล่านี้ทำให้หัวใจฉันเบิกบานยินดีและนำความปลื้มปีติสู่พระทัยพระองค์.
สิ่งที่ฉันชอบมากที่สุดเสมอมานั้นคือการได้พูดคุยเรื่องพระผู้สร้างกับคนอื่น. เพราะเหตุนี้ ฉันจึงเผยแพร่และนำการศึกษาพระคัมภีร์ต่อเนื่องไม่ขาด. บางครั้ง ฉันเสียใจที่ทำได้ไม่เต็มที่เพราะสุขภาพไม่อำนวย. แต่ก็ตระหนักแก่ใจว่าพระยะโฮวาทราบขีดจำกัดของฉันและพระองค์ทรงรักฉันและเห็นคุณค่าการงานที่ฉันสามารถจะทำได้. (มาระโก 12:42) ฉันพยายามเต็มที่เพื่อปฏิบัติให้บรรลุผลตามถ้อยคำในบทเพลงสรรเสริญ 146:2 ที่ว่า “เมื่อข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่จะสรรเสริญพระยะโฮวา: จะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าของข้าพเจ้าในเมื่อข้าพเจ้ายังมีลมหายใจ.”c
[เชิงอรรถ]
a ประสบการณ์ของแอนเจโล คาทันซาโรน้องชายฉัน ได้ตีพิมพ์ลงในหอสังเกตการณ์ (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ 1 เมษายน 1975 หน้า 205-207.
b อ่านประวัติชีวิตของเธอได้จาก วารสารหอสังเกตการณ์ (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ 1 พฤษภาคม 1971 หน้า 277-280.
c ซิสเตอร์เบนันตีเสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2005 ระหว่างเตรียมพิมพ์เรื่องนี้. อายุเธอ 96 ปี.
[ภาพหน้า 13]
คามิลล์
[ภาพหน้า 14]
วันแต่งงานของเรา ปี 1931
[ภาพหน้า 14]
ทีแรกแม่ไม่สนใจ แต่กลับตกลงใจให้พวกเราทุกคนศึกษาคัมภีร์ไบเบิล
[ภาพหน้า 15]
กับบราเดอร์นอรร์ ณ วันจบหลักสูตรโรงเรียนกิเลียด ปี 1946
[ภาพหน้า 17]
กับชาลส์ ไม่นานก่อนเขาเสียชีวิต