การสำรวจอวกาศอนาคตมีอะไรไว้ให้?
เมื่อจักรภพคอมมิวนิสต์โซเวียตล่มสลาย บรรยากาศชิงดีชิงเด่นส่วนใหญ่ได้หมดไปจากการแข่งขันด้านอวกาศ. ขณะนี้ นักวิทยาศาสตร์บางคนขาดเจตนารมณ์เดิม—คือต้องเอาชนะใครสักคน. แทนที่จะแข่งขันกัน นักวิทยาศาสตร์ด้านอวกาศชาวรัสเซียและอเมริกากำลังพูดถึงการร่วมมือกันทางด้านความรู้และทักษะ. แต่ก็ยังคงมีเป้าหมายที่ต้องบรรลุ และคำถามที่ต้องตอบ. คำถามหนึ่งที่หลายคนถามกันมากคือ มนุษยชาติได้ประโยชน์อะไรจากค่าใช้จ่ายอันมหาศาลและความพยายามทั้งสิ้นเพื่อสำรวจอวกาศ?
สิ่งพิมพ์ของนาซาบอกว่าในช่วงเวลาสามทศวรรษที่ผ่านไป “มีการส่งยาน [ไร้คนบังคับ] ขึ้นมากกว่า 300 เที่ยวในโครงการต่าง ๆ ตั้งแต่การสำรวจระบบสุริยะจนถึงการปรับปรุงด้านพยากรณ์อวกาศ, การสื่อสารทั่วลูกโลกและการศึกษาทรัพยากรโลก.” ผลที่ได้คุ้มกับเงินจำนวนมากที่ลงทุนไปกับโครงการเหล่านี้หรือไม่? องค์การนาซายืนยันว่า โครงการเหล่านี้ “ให้ผลเกินคุ้มกับการลงทุนของชาติในด้านเวลา, เงิน, และความสามารถทางเทคนิค. นาซาได้อ้างเหตุผลสนับสนุนการคุ้มค่าใช้จ่ายของโครงการโดยกล่าวต่อไปว่า “ชาวอเมริกาประมาณ 130,000 คนมีงานทำเนื่องจากโครงการอวกาศได้ทำงานวิจัยเพื่อปรับปรุงผ้าและสีทนไฟ, วิทยุและทีวีขนาดเล็กที่ใช้งานได้นาน, พลาสติกที่มีความทนทานยิ่งขึ้น, กาวที่ติดเหนียวแน่นยิ่งขึ้น, ระบบเฝ้าสังเกตอิเล็กทรอนิกส์สำหรับคนไข้ในโรงพยาบาล, ปรับปรุงเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์, รวมทั้งงานวิจัยด้านอื่น ๆ.”
ประโยชน์ทางอ้อมอีกอย่างของโครงการอวกาศคือ การทำแผนที่พื้นผิวโลกแสดงรายละเอียดได้มากขึ้น และกระทั่งใต้ผิวโลกด้วยซ้ำ. การบินของกระสวยอวกาศเที่ยวที่สอง รวมไปถึงการทดลอง “ใช้เครื่องบันทึกภาพที่ค่อนข้างล้าสมัย.” นั้นคาดว่าจะเป็น “แค่การสำรวจภูมิประเทศง่าย ๆ โดยใช้เรดาร์ซึ่งบอกลักษณะพื้นผิวของแผ่นดินโลก.” (เพรสคริบชัน ฟอร์ ดิแซสเตอร์ โดย เจ. เจ. เทรนโต) แต่ได้ผลเกินคาด. “เมื่อยานอวกาศกลับมาและได้ล้างฟิล์มดู เผยให้เห็นภาพถนนหนทางของนครโบราณซึ่งฝังอยู่ใต้ทะเลทรายสะฮารา. อารยธรรมซึ่งสูญไปแล้วถูกค้นพบ.” ยิ่งกว่านั้น ยังมีประโยชน์อีกประการหนึ่งซึ่งมีผลกระทบพวกเราทุกคน.
ดินฟ้าอากาศจะเป็นอย่างไร?
การพยากรณ์อากาศประจำวันพร้อมด้วยแผนที่และทัศนูปกรณ์เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ซึ่งมีโทรทัศน์ในปัจจุบันถือเป็นเรื่องธรรมดา. กระนั้น ก็เปลี่ยนแปลงความสามารถในการวางแผนแต่ละวันสักเพียงไร! ปกติแล้ว ถ้าจะเกิดพายุหรือฝนหรือหิมะตก คุณจะรู้ก่อนหลายชั่วโมง—เนื่องจากดาวเทียมตรวจอากาศที่โคจรรอบโลก.
ตลอดช่วงเวลา 30 ปีที่แล้วมา ดาวเทียมทางอุตุนิยมวิทยาได้ส่งข้อมูลเรื่องดินฟ้าอากาศของโลกลงมา. สิ่งพิมพ์ของนาซาแจ้งว่า “ดาวเทียมเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้เป็นไปได้ที่จะเข้าใจสิ่งแวดล้อมของเราดีขึ้น แต่ยังช่วยคุ้มครองเราให้พ้นจากภยันตรายต่าง ๆ.” หนังสือนั้นให้ข้อสังเกตต่อไปว่าเมื่อปี 1969 เกิดพายุเฮอร์ริเคนที่ชายฝั่งอ่าวมิสซิสซิปปี้ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินมูลค่า 35 พันล้านบาท. “กระนั้น เนื่องจากดาวเทียมพยากรณ์อากาศ เพียง 256 คนเท่านั้นที่เสียชีวิต และส่วนใหญ่น่าจะรอดชีวิตถ้าเชื่อฟังคำเตือนแต่เนิ่น ๆ ให้อพยพจากพื้นที่นั้น.” แน่ละ ประโยชน์เหล่านี้สามารถนำไปใช้ในส่วนอื่น ๆ ของโลกซึ่งประสบผลกระทบถึงชีวิตเป็นประจำจากลมมรสุมและพายุ.
นักวิทยาศาสตร์ด้านอวกาศมิได้สนใจเพียงแต่ประโยชน์อันเป็นผลพวงต่อผู้อาศัยบนโลกเท่านั้น. เป้าหมายของพวกเขาไปไกลกว่านั้นมาก. ฉะนั้น อนาคตสำหรับการสำรวจอวกาศเป็นอย่างไร?
สถานีอวกาศเรื่องท้าทาย
สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ด้านอวกาศหลายคนเห็นว่าจำเป็นอย่างยิ่งคือสถานีอวกาศแท้ ๆ ที่ปฏิบัติงานได้. นาซาคิดคำนวณว่า จนถึงปีส.ศ. 2000 ต้องใช้เงิน 750 พันล้านบาทสำหรับสถานีอวกาศฟรีดอม ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง. เนื่องจากได้วางแผนมาหลายปีก่อนหน้านี้ ตามแหล่งข่าวของนาซาบอกว่าได้ใช้จ่ายเงินไปแล้ว 225 พันล้านบาท. แต่เหล่าผู้เชี่ยวชาญจะส่งสถานีอวกาศขึ้นสู่วงโคจรได้อย่างไร? คิดคำนวณว่า กระสวยอวกาศสหรัฐจะต้องบินขึ้นพร้อมด้วยคนบังคับอย่างน้อย 17 เที่ยว เพื่อนำสถานีฟรีดอม ขึ้นไปทีละชิ้นส่วน. นี่หมายถึงปฏิบัติการที่ใช้เวลานานและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากทีเดียว. อะไรอาจเป็นทางแก้ปัญหานี้ได้?
บางคนได้เสนอแนะให้รัสเซียและอเมริการ่วมมือกันใช้จรวดเอ็นเยอเจียของรัสเซียซึ่งมีกำลังสูงส่งสถานีฟรีดอม สู่อวกาศ. จรวดเอ็นเยอร์เจียซึ่ง เซอร์ส ชมีแมน นักเขียนประจำหนังสือ นิวยอร์ก ไทม์ส พรรณนาว่าเป็น “ตึกระฟ้าสูง 20 ชั้นบินได้” สามารถช่วยให้โครงการติดตั้งสถานีอวกาศของสหรัฐเสร็จเร็วขึ้น. ชาวรัสเซียต้องการเงินเหรียญสหรัฐ และนี่ล่ะเป็นโอกาสของพวกเขาที่จะได้ประโยชน์จากความมั่งคั่งของลัทธิทุนนิยม. หนังสือ ยู. เอส. นิวส์ แอนด์ เวิลด์ รีพอร์ต บอกว่า “จรวดเอ็นเยอร์เจียที่ไร้คนบังคับหกลำสามารถนำสถานีอวกาศทั้งหลังขึ้นได้โดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยและไม่เสี่ยงต่อชีวิตมนุษย์.”
แน่ละ มิใช่มีแต่สหรัฐและสหพันธ์รัสเซียเท่านั้นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสำรวจอวกาศ. ในกลุ่มผู้ริเริ่มอื่น ๆ ก็มีองค์การอวกาศของยุโรป โดยทางบริษัท อาริอานเนสเปส แห่งฝรั่งเศส ผลิตจรวดที่ใช้ยิงได้ครั้งเดียวสำหรับการปล่อยดาวเทียมทางการค้า. ทางญี่ปุ่นก็มุ่งไปสู่ดวงดาวเช่นกันและจากข่าวไม่นานมานี้ที่ตีพิมพ์ในวารสารเอเชียวีค มีว่า “ในตอนสิ้นศตวรรษนี้ ญี่ปุ่นวางแผนจะเป็นชาติแรกในเอเชียที่ส่งมนุษย์ขึ้นไปอยู่ในอวกาศอย่างถาวร. มาโมรุ โมริ นักบินอวกาศอย่างเป็นทางการคนแรกของญี่ปุ่นถูกกำหนดไว้สำหรับภารกิจเจ็ดวันจากแหลมคานาเวรัล รัฐฟลอริดา ในปี 1992. รายงานแหล่งเดียวกันนั้นบอกว่า “ภารกิจครั้งนี้เป็นฉากเบิกโรงสำคัญต่อแผนการของญี่ปุ่นที่จะมีส่วนสนับสนุนสถานีอวกาศฟรีดอม [ของสหรัฐ].” โครงการนี้ยังได้รับความร่วมมือจากนักวิทยาศาสตร์ด้านอวกาศของแคนาดาและยุโรปด้วย.
การส่งคนไปอยู่บนดาวเคราะห์
ความปรารถนาอย่างแรงกล้าอีกประการหนึ่งได้กระตุ้นจินตนาการของหลายคนด้วยเช่นกัน—ได้แก่ ความปรารถนาที่จะนำคนไปอยู่อาศัยและแสวงประโยชน์จากดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ. จอร์ช เฮนริ อิไลแอส พูดไว้ในหนังสือของเขา เบรกเอาต์ อินทู สเปส—มิชชัน ฟอร์ เอ เจ็นเนอร์เรชัน ว่า “การก่อสร้างอารยธรรมระหว่างดาวเคราะห์เป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อความอยู่รอดของมนุษย์เรา . . . . บัดนี้ เราบรรดามนุษย์ครอบครองทั้งพิภพ และถึงเวลาแล้วที่เราจะอพยพไปสู่ถิ่นอาศัยซึ่งใหญ่กว่า. ระบบสุริยะที่ปราศจากผู้คนรอเราอยู่.” เขาจ้องไปที่ดาวอังคารก่อน.
คนหนึ่งซึ่งคิดอย่างแน่ใจว่ามนุษย์ควรไปยังดาวอังคารคือ ไมเคิล คอลลินส์ อดีตนักอวกาศซึ่งขับยานเจมินิ 10 เมื่อปี 1966 และขับยานบังคับการของอพอลโล 11 ซึ่งนำมนุษย์ไปลงบนดวงจันทร์. เขาบอกไว้ในหนังสือมิชชัน ทู มาร์ส ของเขาว่า “ดาวอังคารดูเป็นมิตร, สามารถไปถึงได้ แม้กระทั่งอยู่อาศัยได้.”
บรูซ เมอร์เรย์ ผู้จัดการห้องปฏิงานด้านการขับเคลื่อนด้วยพลังไอพ่นแห่งเมืองพาซาดีนาเป็นเวลานานสนับสนุนอย่างแข็งแรงให้สหรัฐกับรัสเซียร่วมมือกันพิชิตดาวอังคาร. ฐานะเป็นผู้ร่วมก่อตั้งสมาคมดาวเคราะห์ เมื่อเร็ว ๆ นี้เขาได้ผลักดันโครงการ “สู่ดาวอังคาร . . . ด้วยกัน.” เขาพูดว่า “ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์แห่งอนาคต. ที่นั่นจะเป็นสวนสนุกสำหรับบรรดาสมาชิกผู้รักการผจญภัยแห่งอนุชนรุ่นหลัง.”
มาร์แชลล์ เบรเมนต์ อดีตเอกอัครทูตสหรัฐประจำไอซ์แลนด์บันทึกไว้ว่า “สองประเทศนี้อาจสอนกันและกันได้มากในเรื่องดังกล่าว [อวกาศ]. โครงการอวกาศที่มีคนบังคับของโซเวียตก็ไม่เป็นรองใคร; นักบินอวกาศโซเวียตครองสถิติการอยู่ในวงโคจรได้นาน . . . . ข้อผูกพันระหว่างทั้งสองชาติเพื่อตั้งสถานีอวกาศร่วมกันบนดวงจันทร์, เพื่อเดินทางรอบดาวศุกร์ และนำยานลงบนดวงจันทร์ น่าจะเกิดประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์อย่างใหญ่หลวง.”
สมาคมดาวเคราะห์ ซึ่งคาร์ล เซกัน นักดาราศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยคอร์เนล ร่วมอยู่ในคณะผู้ก่อตั้งสมาคมด้วย ได้ตีพิมพ์ “คำแถลงการณ์เรื่องดาวอังคาร” ซึ่งระบุว่า “ดาวอังคารคือโลกถัดไป ดาวเคราะห์ที่ใกล้ที่สุดซึ่งมนุษย์นักสำรวจเดินทางลงไปได้โดยปลอดภัย . . . . ดาวอังคารเป็นคลังข้อมูลทางวิทยาศาสตร์—มีความสำคัญในการศึกษาเรื่องของดาวอังคารเอง แต่ยังจะให้ความเข้าใจกระจ่างขึ้นในเรื่องต้นกำเนิดชีวิตและในเรื่องการป้องกันรักษาสิ่งแวดล้อมบนแผ่นดินโลก.” นักวิทยาศาสตร์หลงใหลใคร่รู้ความลึกลับแห่งจุดเริ่มต้นของชีวิต. คำตอบง่าย ๆ ของพระคัมภีร์ไม่เป็นที่จุใจพวกเขาที่ว่า “พระองค์ [พระยะโฮวา] เป็นผู้สมควรจะรับสง่าราศีและยศศักดิ์และฤทธานุภาพ เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสร้างสรรพสิ่งและสรรพสิ่งนั้นก็ได้อุบัติขึ้นแล้วตามชอบพระทัยของพระองค์.”—วิวรณ์ 4:11; โรม 3:3, 4.
ปัญหาที่ต้องเผชิญ
อย่างไรก็ดี เมอร์เรย์รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ ยอมรับปัญหาบางอย่างด้านการบินระหว่างดวงดาวในระยะทางไกล. ยกตัวอย่าง นักบินอวกาศคงต้องใช้เวลาเดินทางระหว่างดวงดาวประมาณหนึ่งปีจึงจะไปถึงดาวอังคาร. ฉะนั้น ทั้งไปและกลับใช้เวลาอย่างน้อยสองปีโดยไม่รวมเวลาที่อยู่บนดาวอังคาร. ผลกระทบอันเกิดจากสภาพไร้น้ำหนักก็ยังไม่เป็นที่เข้าใจกันเต็มที่. สิ่งพิมพ์ขององค์การนาซาบอกว่า “ผลกระทบบางอย่างก็คือการสูญเสียแร่ธาตุในกระดูก; อาการห่อเหี่ยวของกล้ามเนื้อเมื่อไม่ได้ออกกำลังกาย; และกลุ่มอาการที่เกิดจากการปรับตัวอยู่ในอวกาศ, อาการคลื่นเหียนวิงเวียนที่เกิดขึ้นเฉพาะในการเดินทางในอวกาศ.”
เท่าที่ผ่านมา ไม่มีมนุษย์คนใดได้ประสบกับสภาพไร้น้ำหนักเป็นเวลานานถึงขนาดนั้น. อย่างไรก็ดี นักบินอวกาศรัสเซียกำลังก้าวไปใกล้ขีดนั้น. เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 1992 เซอร์จี คริคาเล็ฟอายุ 33 ปีกลับสู่โลกหลังจากอยู่ในสถานีอวกาศเมียร์ ของรัสเซียนานสิบเดือน. เขามีอาการสะลึมสะลือบ้าง เมื่อถูกยกออกมาจากยาน แต่เขาก็ได้แสดงให้เห็นว่า คนเราสามารถอยู่รอดได้นานในสภาพไร้น้ำหนัก. แต่ปัญหามิได้จำกัดอยู่แค่สภาพไร้น้ำหนักซึ่งนักบินอวกาศต้องเผชิญ ดังที่ฝ่ายรัสเซียได้ค้นพบ.
เมื่อคุณให้คนกลุ่มหนึ่งอยู่รวมกันในเนื้อที่จำกัด ณ ช่วงเวลาใดก็ตาม. ในที่สุด คุณจะประสบปัญหาทางจิตวิทยาและบุคลิกลักษณะ. หนังสือของไทม์-ไลฟ์ชื่อ เอาท์บาวด์ ในชุด วอยเอจ ทรู เดอะ ยูนิเวอร์ส กล่าวว่า “ระดับของความหงุดหงิดจะสูงขึ้นทุกสัปดาห์ของภารกิจ. ในระหว่างภารกิจซอลยุต [ของโซเวียต] ฝ่ายควบคุมภาคพื้นดินสังเกตว่า นักบินอวกาศรู้สึกฉุนเฉียวมากขึ้นทุกทีในสิ่งที่พวกเขารู้สึกว่าเป็นคำถามโง่ ๆ . . . ในระหว่างภารกิจอันยาวนานของเกร็ซโกและโรมาเนนโก ปี 1977 ฝ่ายควบคุมภาคพื้นดินได้จัดกลุ่ม ‘ให้ความสนับสนุนทางจิตวิทยา’ เพื่อติดตามสุขภาพจิตของนักบินอวกาศ.” เกร็ซโกบอกว่า “การแข่งขันชิงดีกันภายในกลุ่มลูกเรือเป็นเรื่องที่ก่อความเสียหายมากที่สุดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะถ้าแต่ละคนเริ่มพยายามพิสูจน์ว่าเขาเก่งที่สุด.” เขาเสริมว่าในอวกาศชั้นนอก “คุณไม่มีทางออกทางจิตวิทยา. มีอันตรายมากยิ่งในอวกาศ.”
เหตุฉะนั้น การเดินทางระหว่างดวงดาวระยะยาวจะเป็นปฏิบัติการที่ต้องอาศัยความสมดุลอันละเอียดอ่อน เมื่อคำนึงถึงปัจจัยทางวิทยาศาสตร์, กลไก, และจิตวิทยาซึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย. การอดทนต่อกันและกันไม่ง่ายสำหรับผู้คนบนโลกอยู่แล้ว ยิ่งยากกว่านั้นสักเท่าไรถ้าอยู่ในเนื้อที่จำกัดบนยานอวกาศ.—เทียบโกโลซาย 3:12-14.
คนจะไปถึงดาวเคราะห์ไหม?
ภาพยนตร์อเมริกันเรื่องสตาร์ เทร็ค อันลือชื่อได้ทำให้หลายคนเกิดความกระหายอยากท่องอวกาศ. มีความคาดหวังอะไรสำหรับอนาคตในการนำคนขึ้นไปสำรวจดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ? มีทัศนะสองประการที่ต้องคำนึงถึง—ของมนุษย์และของพระผู้เป็นเจ้า. ถ้าจะว่ากันคัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระยะโฮวาเป็น “ผู้ซึ่งทรงสร้างฟ้าและแผ่นดินโลก. ฟ้าสวรรค์เป็นฟ้าสวรรค์ของพระยะโฮวา แต่แผ่นดินโลกพระองค์ได้ประทานแก่มนุษย์.”—บทเพลงสรรเสริญ 115:15, 16; เยเนซิศ 1:1.
เราได้เห็นแล้วว่า นักวิทยาศาสตร์หลายคนมองในแง่ดีเรื่องความสามารถของมนุษย์ที่จะไปถึงดาวอังคารและตั้งรกรากที่นั่น. ความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์และการโหยหาความรู้จะยังคงกระตุ้นมนุษย์ชายหญิงให้ขยายขอบเขตการค้นพบอย่างไม่ต้องสงสัย. จุดมุ่งหมายหลักประการหนึ่งของกล้องโทรทรรศน์ฮับเบิล สเปซ ตามเอกสารขององค์การนาซาคือ “ค้นหาโลกอื่น ๆ, กลุ่มกาแล็กซีอื่น ๆ, และการกำเนิดเอกภพ” นาซายังแถลงว่า “ภาพภายหน้าของกิจกรรมด้านอวกาศในศตวรรษที่ 21 จะตื่นเต้นและท้าทาย. เราสามารถจินตนาการถึงผลสำเร็จสำคัญ ๆ ได้เช่น การปฏิบัติงานอุตสาหกรรมในวงโคจรของโลก ฐานที่มั่นบนดวงจันทร์, และการส่งคนขึ้นไปสำรวจดาวอังคาร. บัดนี้เราได้ข้ามพ้นเขตแดนอวกาศแล้ว ไม่มีวันจะหันหลังกลับ.”
ทัศนะของคัมภีร์ไบเบิลว่าอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้? จริงอยู่ พระเจ้าได้บอกกับมนุษย์ให้ ‘ทวีมากขึ้นจนเต็มโลก.’ (เยเนซิศ 1:28) ในขณะเดียวกัน มนุษย์ได้รับเชาวน์ปัญญาและความปรารถนาอันไม่รู้อิ่มที่จะรู้มากขึ้นเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของตน รวมทั้งปริมณฑลของสิ่งมีชีวิต, บรรยากาศชั้นนอกสุดของโลก, และที่เลยล้ำออกไป. สภาพดังกล่าวนับรวมระบบสุริยะขนาดกระจิดของเรา และดวงดาวที่อยู่ไกลออกไป. ด้วยเหตุนี้ กษัตริย์ดาวิดได้รับการดลใจให้กล่าวเมื่อสามพันปีที่แล้วว่า “ครั้นข้าพเจ้าพิจารณาท้องฟ้า ที่เป็นพระหัตถกิจของพระองค์ คือดวงจันทร์กับดวงดาวซึ่งพระองค์ได้ทรงประดิษฐานไว้ มนุษย์เป็นผู้ใดเล่าที่พระองค์ทรงระลึกถึงเขา?”—บทเพลงสรรเสริญ 8:3, 4.
ไม่นานมานี้กล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลได้ถ่ายภาพของกาแล็กซียักษ์ เอ็ม87. กาแล็กซีนั้นได้รับการพรรณนาว่าเป็นจุดแสงสว่างหนึ่งซึ่งประกอบด้วยดาวสองล้านล้านดวง! คุณสามารถนึกภาพตัวเลขนั้นออกไหม? เอ็ม87 อยู่ไกลแค่ไหน? ห้าสิบสองล้านปีแสงจากแผ่นดินโลก—“นับว่าใกล้เมื่อเทียบเคียงกับระยะห่างระหว่างกลุ่มกาแล็กซี!” ให้เรารับความจริง มนุษย์และโลกเล็กกระจิดเมื่อเทียบกับความกว้างใหญ่ไพศาลแห่งห้วงอวกาศของเอกภพซึ่งไม่อาจจะนึกภาพได้เลย! สิ่งที่พระยะโฮวากำลังกระทำอยู่และจะทำต่อไปในที่ว่างอันไม่มีสิ้นสุดนั้นเกินกว่าความเข้าใจในปัจจุบันของเรา. ไม่ว่ามนุษย์มีความทะเยอทะยานขนาดไหนในเรื่องอวกาศชั้นนอก ประเด็นได้เกิดขึ้นแล้วในดาวเคราะห์ของเราซึ่งก่อนอื่นต้องจัดการให้เรียบร้อยโดยการแทรกแซงของพระเจ้า.—วิวรณ์ 16:14-16.
ประเด็นที่ต้องจัดการ
ประเด็นนั้นคือการเลือกระหว่างการปกครองโดยพระเจ้าและโดยซาตาน. นั้นเป็นสาเหตุที่พยานพระยะโฮวากำลังประกาศไปทั่วโลกว่า ไม่ช้าพระเจ้าต้องลงมือปฏิบัติการชำระแผ่นดินโลกให้พ้นจากความชั่วร้าย, ความเสื่อมทราม, ฆาตกรรม, ความรุนแรง, และสงคราม.—มาระโก 13:10; 2 โกรินโธ 4:4.
นักบินอวกาศที่ได้มองลงมายังโลกของเราจากระยะหลายร้อยกิโลเมตรในอวกาศรู้สึกทึ่งกับความงดงามของดาวเคราะห์ดุจอัญมณีดวงนี้. เมื่อมองจากเบื้องสูง แผ่นดินโลกไม่ได้แสดงให้เห็นเขตแดนทางการเมืองที่แบ่งและแตกแยกกัน. นั้นเป็นลูกโลกสวยงามดวงเดียวสำหรับครอบครัวมนุษย์. กระนั้น เรามีโลกซึ่งเต็มไปด้วยความละโมบ, ริษยา, โกหก, ฉวยประโยชน์, อยุติธรรม, สยดสยอง, หวาดกลัว, อาชญากรรม, และความรุนแรง. อะไรจะทำให้มนุษยชาติได้สติ?
คัมภีร์ไบเบิลแสดงว่าพระยะโฮวาพระเจ้า ผู้สร้างแผ่นดินโลกและเจ้าของแผ่นดิน จะปฏิบัติการในไม่ช้าต่อสู้ผู้อาศัยซึ่งไม่รักษาระเบียบวินัยและไม่อาจปกครองได้. เฉพาะผู้ถ่อมใจอย่างแท้จริงจะได้รับมรดกบนแผ่นดินโลก. ครั้นแล้วในคราวนั้นเองที่เราจะได้รู้ว่าพระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรสำหรับครอบครัวมนุษย์ผู้เชื่อฟัง.—บทเพลงสรรเสริญ 37:11, 29; วิวรณ์ 11:18; 16:14-16.
[กรอบหน้า 14]
การกู้ดาวเทียม
องค์การนาซาประสบผลสำเร็จอันงดงามในเดือนพฤษภาคมปีนี้ เมื่อนักบินอวกาศสามนายจากกระสวยอวกาศ เอนเดเวอร์ ได้พยุงดาวเทียมสื่อสารที่อยู่ผิดตำแหน่งซึ่งหนัก 4,090 กิโลกรัมด้วยมือของตนระหว่างเดินอวกาศ. เขาได้นำดาวเทียมนี้เข้ามาในห้องบรรทุกของกระสวยและติดตั้งจรวดผลักดันลูกใหม่ให้. แล้วดาวเทียมถูกยิงขึ้นไปในวงโคจรที่สูงกว่า ก่อนที่จะถูกนำลงมาถึงตำแหน่งปฏิบัติงาน 35,680 กิโลเมตรเหนือแผ่นดินโลก.
[กรอบหน้า 15]
1. ภาพวาดโครงการสถานีอวกาศ “ฟรีดอม”;
2. ผู้เดินทางระหว่างดาวเคราะห์ต้องประสบปัญหาเรื่องสภาพไร้น้ำหนัก;
3. ภาพลูกโลกมองจากดวงจันทร์;
4. ดาวศุกร์;
5. ดาวอังคาร
[ที่มาของภาพ]
Photos 1-4, NASA photo; 5 Photo NASA/JPL