การสำรวจอวกาศมนุษย์ไปไกลแค่ไหนแล้ว?
เมื่อวันที่ 12 เมษายน 1961 โคลัมบัสยุคใหม่แบบฉบับของผู้บุกเบิกก็ได้เข้าสู่บันทึกแห่งประวัติศาสตร์. ยูริ อเล็กเซเยวิช กาการิน นักบินอวกาศรัสเซีย เป็นมนุษย์คนแรกที่เดินทางสู่อวกาศโดยยานอวกาศวอสตอก 1. การเดินทางของเขาในครั้งนี้ใช้เวลา 108 นาที เป็นระยะทาง 40,900 กิโลเมตรโคจรรอบโลกหนึ่งรอบ. เขาประสบชัยชนะในรอบแรกของการแข่งขันพิชิตอวกาศครั้งใหญ่ระหว่างอดีตสหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกา.
วารสารยู. เอส. นิวส์ แอนด์ เวิลด์ รีพอร์ต บอกว่า “ความจริงคือ . . . อเมริกาถูกขับดันให้ขึ้นสู่อวกาศด้วยความกดดันที่ต้องการชนะรัสเซียให้ได้.” ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี ตั้งใจที่จะพยายามปิดช่องว่างในผลสัมฤทธิ์ทางอวกาศระหว่างโซเวียตและสหรัฐ. จอห์น ลอกซ์ดอน ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์นานาชาติ เขียนลงในหนังสือ บลูพรินต์ ฟอร์ สเปซ ดังนี้: “ซอเรนสัน [ที่ปรึกษาพิเศษของเคนเนดี] บอกว่า ทัศนะของเคนเนดีได้รับอิทธิพลจากข้อ [ที่ว่า] ‘พวกโซเวียตได้รับเกียรติภูมิอย่างใหญ่หลวงทั่วโลกจากการบินของกาการิน ในขณะเดียวกันเราได้สูญเสียเกียรติภูมิจากเรื่อง เบย์ ออฟ พิกส์.a ทั้งนี้ชี้ชัดข้อที่ว่า เกียรติภูมิคือความเป็นจริงในกิจธุระของโลกไม่ใช่แค่เป็นการประชาสัมพันธ์.’”
ประธานาธิบดีเคนเนดีมุ่งมั่นว่าสหรัฐต้องทำอะไรที่ยิ่งใหญ่โอฬารให้ได้เพื่อล้ำหน้าโซเวียต ไม่ว่าจะสูญเสียเท่าไรก็ตาม. เขาตั้งคำถามว่า “เรามีโอกาสจะเอาชนะโซเวียตได้ไหมโดยสร้างห้องปฏิบัติการในอวกาศ, หรือเดินทางรอบดวงจันทร์, หรือโดยส่งจรวดลงบนดวงจันทร์ หรือส่งคนขึ้นจรวดไปลงดวงจันทร์แล้วเดินทางกลับ? มีโครงการอวกาศอื่นใดไหมที่จะประสบผลอันน่าทึ่งทำให้เราได้ชัยชนะ?” ในที่สุด นักวิทยาศาสตร์สหรัฐก็มีผู้กระตุ้นหนุนหลังจากฝ่ายการเมืองสนับสนุนความทะเยอทะยานของตน. แต่ผลสำเร็จดังกล่าวใช่ว่าจะเกิดขึ้นในทันที.
ชาวรัสเซียยังคงประสบความสำเร็จเป็นลำดับ เมื่อวาเลนตินา วลาดิมิรอฟนา เตเรสโกวา ได้เป็นผู้หญิงคนแรกที่โคจรรอบโลก มิใช่ครั้งเดียวแต่ 48 ครั้งในปี 1963! นาซา (National Aeronautics and Space Administration—กองการบินอวกาศและการบินแห่งชาติ) ได้เผชิญการท้าทายที่จะก้าวให้ทันในการแข่งขันเพื่อเกียรติภูมิทางอวกาศระหว่างชาติ. ดังนั้น ในที่สุดพวกเขาบรรลุผลอะไร?
อพอลโลและดวงจันทร์
นักวิทยาศาสตร์นาซาได้ศึกษาหาลู่ทางจะลงบนดวงจันทร์ตั้งแต่ปี 1959. เขาขออนุญาตสร้างยานอวกาศซึ่งจะเรียกชื่อว่าอพอลโล. อย่างไรก็ดี “ประธานาธิบดีไอเซนฮาวเออร์ ไม่อนุมัติตามคำขอนั้น.” เหตุใดจึงปฏิเสธ? ค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 850 พันล้านบาทจนถึง 1,150 พันล้านบาท “ไม่อาจก่อเกิดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ถึงขนาดที่ทำให้การลงทุนครั้งนี้สมเหตุผล . . . ไอเซนฮาวเออร์ บอกกับนาซาว่า เขาจะไม่ยอมอนุมัติโครงการใด ๆ ซึ่งมีเป้าหมายที่การลงบนดวงจันทร์.” (บลูพรินต์ ฟอร์ สเปซ) ความหวังอย่างเดียวของนักวิทยาศาสตร์คือประธานาธิบดีคนใหม่ จอห์น เอฟ. เคนเนดี.
เขาวางเป้าหมายให้นักวิทยาศาสตร์สหรัฐส่งคนไปลงบนดวงจันทร์ให้ได้ก่อนสิ้นทศวรรษนั้น—และก่อนชาวรัสเซีย! เวนเดล มาร์เลย์ ผู้ซึ่งเป็นวิศวกรไฟฟ้าทำงานในระบบนำวิถีและการเดินอวกาศของยานอพอลโล บอกกับตื่นเถิด ว่า “มีความรู้สึกแข่งขันชิงดีกันกับสหภาพโซเวียตอย่างเห็นได้ชัด และนี้เป็นพลังกระตุ้นในกลุ่มวิศวกรหลายคนที่ผมทำงานด้วย. เรารู้สึกภูมิใจที่ทำส่วนของเราในการส่งคนไปลงบนดวงจันทร์ก่อนรัสเซีย. พวกเราหลายคนถึงกับทำงานล่วงเวลาโดยไม่รับค่าจ้างพิเศษ เพื่อจะทำให้งานเป็นไปตามกำหนด.”
ผลจากความบากบั่นพยายามเหล่านั้น บัดนี้เป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว—นีล อาร์มสตรอง และ เอ็ดวิน “บุซ” อัลดริน ได้ทิ้งรอยเท้ามนุษย์รอยแรกไว้บนพื้นผิวดวงจันทร์เมื่อเดือนกรกฎาคม 1969. ความสัมฤทธิ์ผลครั้งยิ่งใหญ่นี้มิใช่ว่าจะปราศจากการจ่ายด้วยราคาแพง. เมื่อวันที่ 27 มกราคม 1967 นักบินอวกาศสามคนเสียชีวิตจากไฟไหม้ในห้องบังคับการบินในยานขณะทดสอบก่อนบิน. ต่อมาไม่ถึงสามเดือนนักบินอวกาศชาวรัสเซีย วลาดิเมียร์ โคมารอฟ เสียชีวิตขณะพยายามจะบินกลับสู่โลกหลังจากโคจรรอบโลก 18 รอบ. กระนั้น ตลอดเวลาหลายร้อยปีชีวิตมนุษย์ชายหญิงมักจะเป็นราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการสำรวจ. พวกเขาจบชีวิตในการแสวงหาความรู้และเกียรติยศ.
เอาละ นอกจากการเดินทางไปดวงจันทร์แล้ว มนุษย์ได้ทำความก้าวหน้าอะไรอีกในอวกาศ?
การค้นหาดาวเคราะห์
นาซาได้ส่งดาวเทียมหลายดวงขึ้นสู่อวกาศ และได้ผลงานยอดเยี่ยมทีเดียวในการเพิ่มพูนความรู้เรื่องเอกภพ. นั้นคือคุณประโยชน์ประการหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์เอ่ยถึงเพื่อแสดงว่าค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาลที่เสียไปในการส่งยานสำรวจอวกาศทั้งมีคนบังคับ และไม่มีนั้นเป็นเรื่องชอบด้วยเหตุผล. เดือนมีนาคม 1992 ที่ผ่านมานี้เป็นวันครบรอบปีที่ 20 แห่งผลสัมฤทธิ์อันยิ่งใหญ่หนึ่งในหลายเรื่องของการสำรวจอวกาศ—นั้นคือการส่งยานสำรวจอวกาศเดินทางเลยระบบสุริยะออกไปเป็นครั้งแรก. ยานไพโอเนียร์ 10 ซึ่งส่งขึ้นไปในปี 1972 ได้ชดเชยความล้มเหลวของยานต่าง ๆ รุ่นก่อนหน้านั้นย้อนไปถึงปี 1958. คาดกันว่าอายุการใช้งานของยานสำรวจลำนี้จะอยู่ในราว ๆ สามปี. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เนื่องจากแหล่งพลังงานนิวเคลียร์ ยานลำนี้ยังคงส่งข้อมูลกลับลงมายังแผ่นดินโลก. นิโคลัส บูท เขียนลงในวารสารนิว ไซเยนติสต์ ว่า “เจ้าหน้าที่นาซาคาดว่าจะติดตามการทำงานของยานลำนี้ได้นานจนถึงสากลศักราช 2000. อาจกล่าวได้ว่าโครงการนี้เป็นความสำเร็จงดงามที่สุดในการบินระหว่างดาวเคราะห์เท่าที่ดำเนินการมาทีเดียว.” เหตุใดไพโอเนียร์ 10 เด่นเป็นพิเศษนัก?
ไพโอเนียร์ 10 ได้ถูกโปรแกรมไว้ให้มุ่งสู่ดาวเคราะห์เพื่อนบ้านของเราที่ใหญ่ที่สุด คือดาวพฤหัสบดี ก่อนออกจากระบบสุริยะ. ทั้งนี้หมายรวมถึงการเดินทางประมาณ 774 ล้านกิโลเมตรซึ่งใช้เวลาเกือบสองปี. ยานไปถึงดาวพฤหัสบดีเมื่อเดือนธันวาคม 1973. ระหว่างทางยานแล่นผ่านดาวอังคารและผ่านแนวดาวเคราะห์น้อยเลยดาวอังคารออกไป. ตามบันทึกยานแล่นกระทบอนุภาคฝุ่น 55 ครั้ง. อย่างไรก็ดี ยานอวกาศฝ่าออกไปได้โดยไม่เกิดความเสียหาย. เครื่องมืออื่น ๆ ได้วัดการแผ่รังสีและสนามแม่เหล็กรอบ ๆ ดาวพฤหัสบดี.
ครั้นแล้วก็มีการส่งยานไพโอเนียร์ 11 ขึ้นไป และหลังจากผ่านดาวพฤหัสบดีก็มุ่งต่อไปยังดาวเสาร์. อาศัยพื้นฐานการบุกเบิกของยานไพโอเนียร์ นาซาดำเนินการต่อด้วยยานอวกาศวอยเอเจอร์ 1 และ 2. ตามถ้อยคำของนิโคลัส บูท ยานเหล่านี้ได้ส่ง “ข้อมูลกลับมาอย่างท่วมท้นในเรื่องระบบของดาวพฤหัสบดีซึ่งบดบังรัศมีความสำเร็จที่ได้จากโครงการไพโอเนียร์.” ยานสำรวจเหล่านี้ส่งข้อมูลกลับมายังโลกอย่างไร?
มีระบบจับสัญญาณที่เรียกว่า เครือข่ายอวกาศชั้นนอก ประกอบด้วยจานรับสัญญาณวิทยุขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 64 เมตรหลายจาน ซึ่งทำงานสลับกันรับสัญญาณขณะที่โลกหมุน. จานรับสัญญาณเหล่านี้ตั้งอยู่ในสเปน, ออสเตรเลีย, และสหรัฐ. อุปกรณ์เหล่านี้เป็นกลไกสำคัญเพื่อจะรับสัญญาณวิทยุจากยานอวกาศได้อย่างถูกต้องแม่นยำ.
มีชีวิตบนดาวอังคารไหม?
ดูเหมือนว่าการสำรวจอวกาศยังคงเกิดจากการผลักดันของคำถามหนึ่งที่เย้ายวนใจซึ่งได้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นกันมาหลายศตวรรษนั่นคือ ชีวิตนอกโลกที่มีเชาวน์ไหวพริบมีอยู่ที่ไหนสักแห่งในเอกภพอันกว้างใหญ่ไหม? เป็นเวลานานทีเดียวที่ นักดาราศาสตร์และนักเขียนต่างก็คาดเดากันว่ามีชีวิตบนดาวเคราะห์อังคารสีแดงหรือไม่. การเดินทางท่องอวกาศไม่นานมานี้ได้พิสูจน์ให้เห็นอะไรในการคาดหมายนั้น?
โครงการสำรวจอวกาศชุดมาริเนอร์ในทศวรรษ 1960 และ 1970 ได้ส่งรูปภาพของดาวอังคารกลับลงมา. และแล้วในปี 1976 ยานไวกิง 1 และ 2 ได้ลงจอดบนดาวอังคาร และได้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับหินและดินกลับมาอย่างน่าพิศวง. ข้อมูลได้มาอย่างไร? โดยใช้ห้องปฏิบัติการทางเคมีและชีวภาพซึ่งทำงานอัตโนมัติในยานที่ลงจอดนั้น. ตัวอย่างดินเก็บโดยแขนหุ่นยนต์ นำเข้ามาในยาน และวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการหุ่นยนต์. มีชีวิตอยู่ที่นั่น หรือมีความหวังใด ๆ ว่าจะพบไหม? รูปภาพและการวิเคราะห์เผยให้เห็นอะไร?
บรูซ เมอร์เรย์ นักเขียนทางวิทยาศาสตร์อวกาศอธิบายว่า “ไม่มีพุ่มไม้, ไม่มีหญ้า, ไม่มีรอยเท้า, หรืออะไรที่บ่งบอกว่ามีชีวิตมาเปลี่ยนบรรยากาศเริศร้างของดินแดนอันน่าดึงดูดใจทางภูมิศาสตร์นี้ . . . ทั้ง ๆ ที่ได้ตรวจตัวอย่างดินอย่างรอบคอบ . . . ก็ไม่พบเบาะแสแม้แต่ชิ้นเดียวของโมเลกุลอินทรีย์ . . . ดินบนดาวอังคารไร้สิ่งมีชีวิตยิ่งกว่าสภาพแวดล้อมใด ๆ ซึ่งปราศจากชีวิตที่อยู่บนแผ่นดินโลก . . . ดาวอังคารคงจะปราศจากสิ่งมีชีวิตอย่างน้อยก็หลายพันล้านปีแล้ว.”
เมอร์เรย์ ลงความเห็นจากหลักฐานทั้งสิ้นที่ส่งกลับมาจากการสำรวจดาวเคราะห์ว่า “เราอยู่เดียวดายจริง ๆ ในระบบสุริยะนี้. โลกเราเป็นแหล่งเดียวเท่านั้นที่มีน้ำบนพื้นผิวโลก เป็นสถานที่อุดมไปด้วยสิ่งมีชีวิต. เราไม่มีญาติห่าง ๆ ทางจุลินทรีย์บนดาวอังคารหรือที่อื่นใดในระบบสุริยะเลย.”
ดาวศุกร์มีรูปลักษณะอย่างไร?
ดาวศุกร์ แม้มีขนาดประมาณเท่ากับโลก ก็เป็นดาวเคราะห์ต้องห้ามสำหรับมนุษย์. คาร์ล เซกัน นักดาราศาสตร์เรียกดาวศุกร์ว่า “สถานที่ซึ่งใช้ไม่ได้เลย.” เมฆชั้นบนบรรจุกรดซัลฟิวริก และบรรยากาศส่วนใหญ่เป็นคาร์บอนไดออกไซด์. ความกดดันของบรรยากาศ ณ พื้นผิวมีขนาด 90 เท่าของโลก; นั่นคือเท่ากับน้ำหนักของน้ำลึกหนึ่งกิโลเมตร.
ดาวศุกร์แตกต่างจากโลกในด้านใดอีก? คาร์ล เซกันบอกไว้ในหนังสือ คอสมอส ของเขาว่า ดาวศุกร์หมุน “สวนทางกับดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ทั้งหมดในระบบสุริยะส่วนใน. ผลก็คือ ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกและตกทางทิศตะวันออก จากดวงอาทิตย์ขึ้นถึงดวงอาทิตย์ตกกินเวลา 118 วันของโลก.” อุณหภูมิพื้นผิวประมาณ 480 องศาเซลเซียส หรือดังที่เซกันบอกว่า “ร้อนกว่าเตาอบในบ้านชนิดที่ร้อนที่สุด.” ตั้งแต่ปี 1962 ดาวศุกร์ถูกสำรวจโดยยานอวกาศหลายลำในโครงการสำรวจดาวศุกร์ซึ่งเรียกว่าโครงการ มาริเนอร์และไพโอเนียร์ รวมทั้งยานเวเนราของโซเวียตจำนวนมาก.
อย่างไรก็ดี ในเรื่องการทำแผนที่ ผลที่ได้ดีที่สุดมาจากยานสำรวจอวกาศแม็กเจลแลนเป็นยานทำแผนที่ดาวศุกร์ด้วยเรดาร์ ดำเนินการโดยห้องปฏิการด้านการขับดันโดยพลังไอพ่นของนาซา. ยานลำนี้ปล่อยจากกระสวยอวกาศแอตแลนติส เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 1989. แม็กเจลแลน ยานอวกาศอันยอดเยี่ยมนี้ใช้เวลา 15 เดือนในการเดินทางไปถึงดาวศุกร์ ที่ซึ่งมันโคจรรอบดาวเคราะห์นี้ทุก ๆ 3 ชั่วโมง 15 นาทีขณะที่ถ่ายภาพด้วยเรดาร์และส่งกลับมายังแผ่นดินโลก. สจ็วต เจ. โกลด์แมน เขียนลงในหนังสือ สกาย แอนด์ เทเลสโคบ ว่า “การเรียกภารกิจที่ยานอวกาศแม็กเจลแลนได้กระทำว่าโดดเด่นนั้น เป็นถ้อยแถลงที่ไม่ได้พรรณนาอะไรสักกระผีก . . . ในระหว่างการโคจร 8 เดือนแรกหุ่นยนต์สำรวจได้ทำแผนที่ 84 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อที่ดาวเคราะห์ทั้งดวงเก็บรายละเอียดได้มากขนาดเท่าสนามฟุตบอล . . . ปริมาณข้อมูลซึ่งแม็กเจลแลน ส่งกลับมายังนักวิทยาศาสตร์ผู้กระหายข่าวเป็นเรื่องที่ไม่เคยประสบมาก่อนเลย. เมื่อถึงต้นปี 1992 ยานอวกาศนี้ได้ส่งข้อมูล 2.8 ล้านล้านชิ้น. นับเป็นสามเท่าของข้อมูลที่รวบรวมได้จากยานอวกาศสำรวจดาวเคราะห์ก่อนหน้านั้นทั้งหมดรวมกัน.”
กรณีนี้เป็นตัวอย่างของการประสานระหว่างกระสวยอวกาศที่มีคนบังคับกับหุ่นยนต์ ซึ่งได้ก่อผลงานอันน่าทึ่ง. แล้วประโยชน์ล่ะ? ความรู้เพิ่มพูนขึ้นในเรื่องระบบสุริยะ. และเท่าที่ได้มาเมื่อเทียบส่วนแล้วเสียค่าใช้จ่ายต่ำมาก เนื่องจากในขอบเขตหนึ่งแม็กเจลแลนเคยเป็นโครงการสำรอง ซึ่งใช้บรรดาอุปกรณ์ที่เหลือจากยานสำรวจวอยเอเจอร์, กาลิเลโอ, และมาริเนอร์.
นาซาและดาวเทียมจารกรรม
การแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มิได้เป็นเจตนารมณ์เพียงอย่างเดียวของการสำรวจอวกาศ. พลังผลักดันอีกประการหนึ่งก็คือความปรารถนาที่จะบรรลุข้อได้เปรียบด้านการทหารเหนือกว่าใคร ๆ ที่อาจเป็นข้าศึก. ตลอดหลายปีที่ผ่านมาทั้งสหรัฐและอดีตสหภาพโซเวียตได้ใช้โครงการอวกาศเป็นวิธีขยายแสนยานุภาพทางจารกรรม. บรูซ เมอร์เรย์บอกไว้ในหนังสือของเขาชื่อ เจอร์นีย์ อินทู สเปซ ว่า “การโคจรรอบโลก ตั้งแต่เริ่มต้นเป็นสนามลาดตระเวนและกิจกรรมอื่น ๆ ทางทหารเป็นอาณาเขตแห่งการแข่งขันชิงดีทางยุทธศาสตร์ที่รุนแรงอย่างเอาเป็นเอาตายระหว่างสหรัฐและโซเวียต.”
โจเซฟ เจ. เทรนโต รายงานไว้ในหนังสือชื่อ เพรสคริพชัน ฟอร์ ดีแซสเตอร์ ว่า “ในปี 1971 หน่วยงานซีไอเอ [Central Intelligence Agency] และกองทัพอากาศ [ของสหรัฐ] เริ่มออกแบบดาวเทียมจารกรรมชุดคีย์โฮลหรือเคเอช. เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 1976 คีย์โฮลลำแรกได้ถูกส่งขึ้นไป.” ดาวเทียมที่ใช้ถ่ายภาพเหล่านี้อยู่ในวงโคจรเป็นเวลาสองปีและส่งข้อมูลกลับมายังโลกโดยระบบดิจิตอล. ดาวเทียมเหล่านี้มีประสิทธิภาพแค่ไหน? เทรนโตบอกต่อไปว่า “รายละเอียดเหนือชั้นมากขนาดอ่านหมายเลขป้ายทะเบียนรถยนต์ที่จอดอยู่ได้อย่างชัดเจน. นอกจากนั้น ได้ใช้ดาวเทียมถ่ายภาพยานอวกาศของโซเวียตที่กำลังโคจรอยู่และภาพเครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์ที่บินอยู่.”
กระสวยอวกาศที่สลับซับซ้อน
เมื่อไม่กี่ปีมานี้ โลกพากันตื่นเต้นที่เห็นกระสวยอวกาศซึ่งมีคนควบคุมถูกส่งขึ้นไปในอวกาศ. คุณเคยคิดถึงความสลับซับซ้อนของการปฏิบัติงานทั้งหมดไหม? หรือมีสิ่งต่าง ๆ สักกี่อย่างที่อาจเกิดผิดพลาดซึ่งนำไปสู่ความหายนะ? ยกตัวอย่าง เหล่าวิศวกรได้ปล้ำกับปัญหาอย่างเช่นวิธีรักษาเครื่องยนต์กระสวยให้เย็นระหว่างทะยานขึ้นเพื่อป้องกันมิให้ละลายไปเพราะความร้อนที่เกิดจากตัวมันเอง. เทรนโตเขียนว่า “ในระหว่างการทดสอบระยะสองสามปีแรก เครื่องยนต์อันแล้วอันเล่าละลายและระเบิด.” แล้วก็มีความจำเป็นต้องจุดไฟจรวดขับดันที่ใช้เชื้อเพลิงแข็งสองลูกพร้อม ๆ กันเพื่อเครื่องยนต์กลไกทั้งหมดจะไม่ตีลังกาพังพินาศ. แน่ละปัจจัยเหล่านี้ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น.
การส่งกระสวยอวกาศขึ้นเป็นผลสำเร็จครั้งแรกก็มาถึงในวันที่ 12 เมษายน 1981. ขณะที่นักบินทั้งสอง จอห์น ยังก์ และ โรเบิร์ต คริบเพน เข้านั่งประจำที่พร้อมรัดสายนิรภัย แต่ละเครื่องยนต์ของกระสวยอวกาศสามเครื่องเกิดแรงขับดัน 170,000 กิโลกรัม. จากถ้อยคำของเทรนโต นักวิทยาศาสตร์บางคนสงสัยว่า “นี่จะเป็นชัยชนะไหมหรือว่าความฝันนี้จะตีลังกาลงไปในหนองน้ำฟลอริดา? ถ้าเชื้อเพลิงแข็งไม่ติดไฟพร้อมกันภายในหนึ่งวินาทีก็จะเกิดเปลวไฟลุกไหม้ขนาดใหญ่บนฐานปล่อยจรวด 39A . . . เมื่อนับถึงศูนย์ เชื้อเพลิงแข็งก็ติดไฟ. ควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและสลักก็หลุดออก. นักบินได้ยินเสียงคำราม. เขารู้สึกถึงแรงเหวี่ยงของตัวยานและพลังที่ขับดัน.” เขาประสบผลสำเร็จ. “นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ ชาวอเมริกันได้เข้าไปอยู่ในระบบจรวดที่ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าใช้ได้หรือไม่แล้วบินไปกับมัน . . . ยานพาหนะสลับซับซ้อนที่สุดเท่าที่เคยสร้างมาใช้งานได้.” โคลัมบัสสมัยใหม่เกิดขึ้นแล้ว. แต่ก็ใช่ว่าจะปลอดอันตราย—และใช่ว่าจะปลอดราคาที่ต้องจ่าย. ความหายนะของยานแชลเลนเจอร์ เมื่อปี 1986 ยังผลให้นักบินอวกาศเจ็ดคนเสียชีวิตเป็นพยานถึงข้อนี้.
ในการบินครั้งแรกนั้น ภาพสีแสดงว่าแผ่นกระเบื้องต้านความร้อนอันเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อการกลับสู่โลก ณ อุณหภูมิ 1,100 องศาเซลเซียส หลุดหายไปจากส่วนท้องของกระสวยอวกาศ. นักวิทยาศาสตร์ต้องดูใกล้ ๆ เพื่อประเมินความเสียหาย. กล้องถ่ายภาพจากโลกก็ไม่มีกำลังขยายพอที่จะให้ภาพของส่วนท้องยานโคลัมเบีย ที่เกิดความเสียหาย. ดังนั้นอะไรเป็นทางแก้ปัญหา? ก็ดาวเทียมจารกรรม เคเอช-11 ไงล่ะ ซึ่งลอยอยู่ในวงโคจรเหนือกระสวยอวกาศอยู่แล้ว. จึงมีการตกลงให้พลิกลำตัวยานอวกาศหงายขึ้น ตามการมองจากโลก เพื่อหันส่วนท้องไปทางดาวเทียม. ผลที่ส่งมายังโลกยืนยันแก่เจ้าหน้าที่นาซาว่า แผ่นกระเบื้องที่หลุดหายไปไม่กินบริเวณกว้าง. การปฏิบัติภารกิจจึงไม่ตกอยู่ในอันตราย.
โครงการกระสวยอวกาศ—เพื่อสงครามหรือสันติ?
ประวัติศาสตร์ขององค์การนาซาเป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างผู้ที่มองดูองค์การนี้ฐานะเป็นวิถีทางไปสู่การสำรวจอวกาศอย่างสันติและผู้ที่มองดูองค์การนี้ว่าเป็นโอกาสที่จะได้เปรียบโซเวียตในสงครามเย็น. เมื่อปี 1982 แฮโรลด์ ซี. ฮอลเล็นเบ็ค สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้สรุปถึงความขัดแย้งของผลประโยชน์นี้ เมื่อเขาพูดต่อคณะกรรมการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสภาว่า “โศกนาฏกรรมก็คือชาวอเมริกันไม่รู้ตัวว่าองค์การอวกาศพลเรือนมีส่วนร่วมในวงการเมืองและวงการทหาร . . . ทีมงานพลเรือนเป็นผู้ที่พาเราไปถึงดวงจันทร์ . . . ผมคนหนึ่งล่ะไม่ต้องการโครงการอวกาศที่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมหาศาลซึ่งเป็นส่วนของแผนสตาร์วอร์ [แผนติดตั้งจรวดขีปนาวุธในอวกาศเพื่อทำลายและสกัดจรวดขีปนาวุธของศัตรู] . . . ผมเพียงแต่หวังว่าคนอเมริกันรุ่นถัดไปจะไม่หันมามองดูพวกเราที่ฟังอยู่ขณะนี้ว่าเป็นผู้นำซึ่งนิ่งเฉย ขณะที่อเมริกาเปลี่ยนความพยายามอันสูงส่งให้กลายเป็นอุปกรณ์ทำสงครามในอวกาศ.”
เขาให้ข้อสังเกตต่อไปซึ่งสรุปถึงความสับสนวุ่นวายที่มนุษย์ทำกับอนาคตของตนดังนี้: “เราขึ้นสู่อวกาศฐานะที่เป็นอาณาเขตใหม่ และบัดนี้เราพกพาเอาความเกลียดชังและความขมขื่นของโลกขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์ราวกับว่า นั้นคือสิทธิของมนุษย์ที่จะก่อสงครามได้ทุกแห่งหน.” ธุรกิจใหญ่และผลประโยชน์ทางทหารและการเมือง พยายามจะเข้ายึดครององค์การนาซา. เงินหลายพันล้านดอลลาร์และงานหลายพันตำแหน่ง (และการลงคะแนนเสียง) ล้วนแต่พัวพันอยู่กับอนาคตของหน่วยงานนี้.
บัดนี้ คำถามที่สมเหตุผลต่อไปก็คือ การสำรวจอวกาศได้ให้ประโยชน์อะไรแก่มนุษย์บ้าง และอนาคตมีอะไรไว้ให้?
[เชิงอรรถ]
a การบุกรุกคิวบาซึ่งประสบความล้มเหลว เมื่อวันที่ 17 เมษายน 1961.
[รูปภาพหน้า 8, 9]
1. รถท่องดวงจันทร์จากยานอพอลโล
2. ยานลงดวงจันทร์กับนักบินอวกาศ เอ็ดวิน อี. อัลดริน (20 กรกฎาคม 1969)
3. อาคารประกอบยานอาจเป็นสิ่งก่อสร้างเดียวที่ใหญ่ที่สุดในโลก
4. กระสวยอวกาศบนพาหนะลำเลียงมุ่งสู่ฐานปล่อยจรวด
5. ดาวเทียมกำลังจะถูกปล่อย
6. กระสวยอวกาศ “แชลเลนเจอร์” โดยมีมือหุ่นยนต์ที่มองเห็นได้
7. วาเลนตินา เตเรสโกวา ผู้หญิงคนแรกที่ขึ้นไปในอวกาศ
8. ยูริ เอ. กาการิน มนุษย์คนแรกที่ขึ้นสู่อวกาศ
9. แขนหุ่นยนต์กำลังเก็บตัวอย่างดินบนดาวอังคาร
[ที่มาของภาพ]
Photos 1-6 NASA Photo; 7, 8 Tass/Sovfoto; 9 Photo NASA/JPL