แอ็ดดีพบคำตอบช้า แต่ไม่ช้าเกินไป
นี่เป็นเรื่องราวของสตรีผิวดำที่แสวงหาความยุติธรรมในสังคมมานาน 87 ปี. เธอกำลังนั่งตกปลา อยู่บนขอนไม้ริมหนองน้ำแห่งหนึ่ง. ผิวของเธอเกลี้ยงเกลา, ความคิดอ่านของเธอชัดเจน, และเธอมีลักษณะที่สง่าผ่าเผยอยู่ในตัว. เธอแข็งแรง, มีประสบการณ์, มีความรู้, แต่ในแววตาของเธอ คุณจะเห็นปฏิภาณและอารมณ์ขัน บวกกับความถ่อมที่น่าพึงพอใจ. เธอเป็นนักเล่าตัวยง. มรดกจากแอฟริกาในตัวเธอปรากฏให้เห็น ซึ่งคลุกเคล้าผสมผสานกับความทรงจำต่าง ๆ เกี่ยวกับรัฐทางใต้สุด. ฟังเธอทบทวนประสบการณ์ชีวิตของเธอซิ.
“คุณย่าเกิดบนเรือขนทาสซึ่งอยู่ระหว่างทางจากแอฟริกาไปรัฐจอร์เจีย. ท่านอ่อนแอมากจนไม่มีใครคิดว่าจะมีชีวิตรอด. ดังนั้น เมื่อคุณแม่ของท่านถูกขาย พวกเขาก็แถมลูกขี้โรคให้ด้วย. นี้อยู่ในราวปี 1844. เด็กคนนั้นได้รับการตั้งชื่อว่า เรเชล.
“ดิวิตต์ คลินตัน กำลังดูแลไร่ให้คุณลุงของเขา. โดยดิวิตต์ เรเชลก็ได้ให้กำเนิดคุณพ่อ ไอเซอาห์ คลินตัน ซึ่งเกิดในเดือนมิถุนายน ปี 1866. พวกเขาเรียกท่านว่าไอค์. ตอนเป็นเด็ก ท่านมักขี่ม้าตัวเดียวกับคุณปู่ดิวิตต์ และได้รับการสอนทุกอย่างที่จำเป็นต้องรู้เพื่อดูแลไร่. ไม่กี่ปีต่อมา คุณปู่ดิวิตต์ก็บอกคุณพ่อไอค์ว่า ‘ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะออกไปผจญโลกภายนอกด้วยตนเอง.’ แล้วคุณปู่ก็ถอดเข็มขัดกระเป๋าเงินจากเอวของท่าน และส่งให้คุณพ่อไอค์.
“จากนั้น คุณพ่อก็ไปทำงานให้ มร. สกินเนอร์ โดยได้เป็นผู้ดูแลไร่สกินเนอร์ และแต่งงานกับเอลเลน เฮาเอิร์ด. ฉันเกิดวันที่ 28 มิถุนายน 1892 ในเทศมณฑลเบอร์กใกล้เวนซ์บอโร รัฐจอร์เจีย. ชีวิตเป็นสิ่งวิเศษสำหรับฉัน. ฉันอดใจคอยไม่ไหวที่จะได้ออกไปนอกประตูบ้าน. คุณแม่จะดึงตัวฉันไว้จนกว่าท่านจะผูกโบว์ที่ด้านหลังเสร็จ และฉันจะได้ยินท่านบอกทุกวันว่า ‘ผูกโบว์ก่อน แล้วค่อยไป.’ ฉันจะปีนขึ้นไปบนราวเหล็กขวางระหว่างด้ามคันไถ เพื่อจะได้อยู่ใกล้คุณพ่อ.
“วันหนึ่งระหว่างที่มีพายุฤดูร้อน มร. สกินเนอร์และม้าของเขาถูกฟ้าผ่าในทุ่งโล่ง. ทั้งคนและม้าเสียชีวิต. คุณนายสกินเนอร์เป็นผู้หญิงผิวขาวจากรัฐทางเหนือ และเป็นที่เกลียดชังของทุกคนในเทศมณฑลเบอร์ก เนื่องจากสิ่งที่นายพลเชอร์แมนกระทำเมื่อเขาเผาเมืองแอตแลนตา. ดังนั้น พวกเขา [คนขาว] จึงเกลียดชังคุณนายสกินเนอร์ยิ่งกว่าเกลียดชังคนดำเสียอีก! คุณนายสกินเนอร์จึงแก้เผ็ดพวกเขา. ด้วยเจตนาประชด เมื่อสามีของเธอเสียชีวิต เธอจึงขายไร่นั้นให้คุณพ่อของฉัน ซึ่งเป็นคนผิวดำ. ลองนึกภาพดูสิ ชายผิวดำเป็นเจ้าของไร่ก่อนที่จะขึ้นศตวรรษใหม่ในจอร์เจีย!”
มร. นีลีกับร้านขายของเบ็ดเตล็ด
“เมื่อคุณพ่อต้องการอะไร ท่านก็ไปหา มร. นีลี ซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายของเบ็ดเตล็ด. เขามีทุกอย่าง. ต้องการหมอรึ ก็ไปที่ร้านขายของเบ็ดเตล็ด. ต้องการโลงศพรึ ก็ไปที่ร้านขายของเบ็ดเตล็ด. คุณไม่ต้องจ่ายอะไรเลย เพียงแต่จดบัญชีไว้จนถึงฤดูเก็บฝ้าย. นีลีรู้มาว่าคุณพ่อมีเงินในธนาคาร ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเอาของทุกอย่างมาให้เรา ของที่ไม่จำเป็นต้องมี—ไม่ว่าจะเป็นลังแช่เย็น, จักรเย็บผ้า, ปืน, รถจักรยาน, ล่อสองตัว. คุณพ่อจะบอกว่า ‘เราไม่จำเป็นต้องมีของเหล่านี้!’ นีลีก็จะตอบว่า ‘มันเป็นของขวัญ. ผมจะจดบัญชีไว้.’
“วันหนึ่ง นีลีมาถึงฟาร์มของเราพร้อมด้วยรถยนต์ชตูเดเบเกอร์สีดำคันใหญ่. คุณพ่อบอกว่า ‘มิสเตอร์นีลี เราไม่จำเป็นต้องมีรถคันนี้! ไม่มีใครรู้วิธีขับหรือดูแลมัน และทุกคนก็กลัวมันด้วย!’ นีลีไม่ใส่ใจคำพูดนั้น. ‘เอาไว้เถอะ ไอค์. ผมจะจดบัญชีไว้ และให้เด็กของผมมาสอนเด็กของคุณรู้วิธีขับ.’ เราไม่ได้ประโยชน์อะไรจากรถคันนั้นเลย. วันหนึ่ง ฉันขอไปกับลูกน้องของคุณพ่อเพื่อจะเอารถไปเติมน้ำมัน. คุณพ่อบอกว่า ‘อย่าไปยุ่งกับรถเชียวล่ะ พ่อรู้นะ!’ ทันทีที่เราพ้นสายตาคุณพ่อ ฉันก็บอกว่า ‘ขอฉันลองมั่ง. คุณพ่อรู้น่าว่าฉันจะต้องลองขับ.’ รถพุ่งพรวดออกไป ฉันก็หักซ้ายหักขวาผ่านพุ่มไม้และต้นไม้ แล้วมาหยุดกึกอยู่ที่ลำธาร.
“ฉันเคยถามคุณพ่อว่า ทำไมท่านจึงไม่ปฏิเสธของเหล่านี้ และท่านจะตอบว่า ‘นั่นคงจะเป็นข้อผิดพลาดใหญ่หลวง ถือเป็นการดูถูก. นอกจากนั้น พวกเคเคเค [คิว คลัคส์ แคล็น] ไม่ยุ่งกับเพื่อนผิวดำของ มร. นีลี.’ ดังนั้น เราจึงจ่ายเงินสำหรับของเหล่านี้ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องมี. และฉันคิดถึงสิ่งที่คุณพ่อพูดเสมอว่า ‘อย่าซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็น มิฉะนั้น สิ่งที่จำเป็นจะไม่ได้ซื้อ.’ ฉันละเกลียด มร. นีลี!
“ตอนที่ทุกคนกำลังฉลองการขึ้นศตวรรษใหม่ในวันที่ 1 มกราคม 1900 คุณแม่ก็เสียชีวิตขณะคลอดลูกคนที่สี่. ฉันอายุเพียงแปดขวบในตอนนั้น แต่ฉันบอกคุณพ่อที่หลุมศพว่า ฉันจะดูแลคุณพ่อเอง.
“คุณยายช่วยดูแลพวกเราที่เป็นเด็ก ๆ. ท่านชื่อแมรี. ท่านเคร่งศาสนามาก, มีความจำยอดเยี่ยม, แต่อ่านเขียนไม่ได้. ฉันจะอยู่ในห้องครัวถามโน่นถามนี่. ‘ทำไมคนผิวขาวจึงไม่อยากยุ่งกับคนผิวดำ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาบอกว่าทุกคนเสมอภาคกันในสายพระเนตรของพระเจ้า? เมื่อเราไปสวรรค์ คนผิวขาวทั้งหมดจะไปที่นั่นด้วยไหม? มร. นีลีจะไปที่นั่นด้วยไหม?’ คุณยายแมรีจะตอบว่า ‘ยายไม่รู้. แต่เราจะมีความสุข.’ ฉันไม่แน่ใจเท่าใดนัก.
“‘คุณยายคะ เราจะทำอะไรในสวรรค์?’ ‘เราจะเดินบนถนนที่ปูด้วยทอง! เราจะติดปีกบินจากต้นไม้หนึ่งไปอีกต้นหนึ่ง!’ ฉันรำพึงกับตัวเองว่า ‘ไปเล่นข้างนอกยังจะสนุกกว่า.’ ยังไง ๆ ฉันไม่เคยนึกอยากไปสวรรค์ แต่ฉันก็ไม่อยากตกนรกเช่นกัน. ‘คุณยาย เราจะกินอะไรในสวรรค์?’ เธอตอบว่า ‘เราจะกินน้ำนมและน้ำผึ้ง!’ ฉันร้องออกมาว่า ‘แต่หนูไม่ชอบนม หนูไม่ชอบน้ำผึ้ง! คุณยายคะ หนูจะต้องอดตาย! หนูจะอดตายในสวรรค์!’”
ฉันเริ่มเข้ารับการศึกษา
“คุณพ่อต้องการให้ฉันได้รับการศึกษา. ในปี 1909 ท่านส่งฉันไปที่สถาบันทัสคีกีในแอลาบามา. บุกเกอร์ ที. วอชิงตัน เป็นสมองและหัวใจของโรงเรียน. นักศึกษาเรียกเขาว่า ปาปา. เขาเดินทางไปทั่วเพื่อหาเงินเข้าโรงเรียน ซึ่งเงินไม่น้อยได้จากคนผิวขาว. เมื่อเขาอยู่ที่โรงเรียน เขาเทศนาพร่ำสอนข้อความนี้แก่พวกเรา: ‘จงศึกษาหาความรู้. หางานทำ, และเก็บเงินไว้. แล้วเป็นเจ้าของที่ดินสักผืน. และอย่าให้ผมมีโอกาสไปเยี่ยมพวกคุณ แล้วพบว่าหญ้าไม่ตัด, บ้านไม่ได้ทาสี, หรือหน้าต่างแตกโดยมีผ้าขี้ริ้วอุดไว้กันลมหนาว. จงหยิ่งทะนงในตัวเอง. จงช่วยพวกพ้องของคุณ. ช่วยพวกเขาให้เขยิบฐานะขึ้น. พวกคุณสามารถเป็นแบบอย่างได้.’
“พวกเขาจำต้อง ‘เขยิบฐานะ’ จริง ๆ. พวกเขาเป็นคนดี—มีคุณความดีมากมายในตัวพวกเขา. มีบางสิ่งที่คนผิวขาวพึงจดจำเกี่ยวกับอดีตเมื่อเขาคิดถึงพวกนิโกร. พวกนิโกรไม่มีโอกาสได้เรียน. เป็นการผิดกฎในระบบทาสที่จะสอนคนนิโกร. เราเป็นพวกเดียวที่เข้ามาในประเทศนี้โดยไม่สมัครใจ. คนอื่นกระหายจะมาที่นี่. เราไม่อยากมา. พวกเขาจับเราใส่โซ่ตรวนและนำเรามาที่นี่. พวกเขาให้เราทำงานนาน 300 ปีโดยไม่ให้ค่าตอบแทน. เราทำงานให้คนผิวขาวเป็นเวลา 300 ปี และเขาไม่ได้ให้เรามีพอจะกินหรือให้รองเท้าพอจะสวม. ให้เราทำงานตั้งแต่เช้าจนดึก นึกอยากเฆี่ยนเราก็เฆี่ยน. และเมื่อเขาปล่อยเราเป็นอิสระ เขายังคงไม่ให้โอกาสเราเรียน. เขาต้องการให้เราทำงานในไร่ และต้องการให้ลูก ๆ ของเราทำงานด้วย และไปโรงเรียนปีละสามเดือน.
“และคุณรู้ไหมว่าเป็นโรงเรียนแบบไหน? เป็นโบสถ์เล็ก ๆ เพราะไม่มีโรงเรียนสำหรับพวกนิโกร. ม้านั่งเป็นกระดานหยาบ ๆ. เรียนเดือนมิถุนายน, กรกฎาคม, และสิงหาคม เดือนที่ร้อนที่สุดในรอบปี. ไม่มีมุ้งลวดที่หน้าต่าง. เด็ก ๆ นั่งกับพื้น. นักเรียนหนึ่งร้อยสามคนต่อครูหนึ่งคน และแมลงเป็นโขยงบินว่อนเข้ามาในห้อง. คุณจะสอนอะไรให้เด็กได้ในเวลาสามเดือน? ครั้งหนึ่ง เมื่อมีช่วงหยุดพักจากทัสคีกีในฤดูร้อน ฉันได้สอนนักเรียน 108 คน จากทุกชั้น.
“ฉันสำเร็จเป็นนางพยาบาลปี 1913. ปี 1914 ฉันแต่งงานกับ ซามูเอล มอนต์โกเมอรี. ต่อมาเขาจากบ้านไปรบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และฉันกำลังตั้งท้องลูกคนเดียวของฉัน. ไม่นานหลังจากซามูเอลกลับมา เขาก็เสียชีวิต. ฉันเดินทางไปเยี่ยมน้องสาวในรัฐอิลลินอยส์พร้อมด้วยลูกชายน้อย ๆ โดยหวังว่าจะได้ทำงานพยาบาลที่นั่น. คนผิวดำทั้งหมดถูกชี้ให้ไปนั่งที่ตู้ติดกับหัวรถจักรไอน้ำ. อากาศก็ร้อน หน้าต่างก็เปิด ตามเนื้อตามตัวของเราจึงมีแต่เขม่าของถ่านหินและขี้เถ้า. วันที่สอง แซนด์วิชของเราหมดและไม่มีนมสำหรับทารก. ฉันพยายามเข้าไปที่ตู้เสบียง แต่ถูกกั้นไม่ให้เข้าโดยพนักงานผิวดำ. ‘คุณเข้ามาในนี้ไม่ได้.’ ‘พวกเขาจะขายนมให้ฉันหน่อยได้ไหม จะได้ให้ลูกกิน?’ คำตอบคือไม่ได้. นีลีเป็นความอยุติธรรมประการแรกที่ทำให้ฉันโกรธแค้น. นี่เป็นประการที่สอง.
“ในปี 1925 ฉันแต่งงานกับ จอห์น ฟิว พนักงานบนรถไฟ. เขาอาศัยอยู่ในเซนต์พอล รัฐมินเนโซตา ดังนั้นฉันจึงย้ายไปที่นั่น. สิ่งนี้นำฉันไปสู่ประการที่สามซึ่งทำให้ฉันโกรธแค้นในเรื่องประเด็นความยุติธรรมทางสังคม. ที่เซนต์พอล ฉันอยู่ทางเหนือสุด แต่ความมีอคติร้ายกาจกว่าทางใต้. โรงพยาบาลของเทศมณฑลไม่ยอมจดทะเบียนฉันเป็นนางพยาบาล. เขาบอกว่าไม่เคยได้ยินว่ามีพยาบาลผิวดำ. ที่ทัสคีกี เราได้รับการฝึกอบรมเป็นอย่างดี และคนไข้มาเป็นอันดับแรกเสมอ แต่ที่เซนต์พอล สีผิวเป็นปัจจัยเดียวที่ใช้ตัดสิน. ดังนั้น ฉันจึงขายบ้านหลังน้อยที่ฉันยังมีอยู่ในเวนซ์บอโร และใช้เงินที่ขายได้เป็นเงินดาวน์สำหรับตัวตึกและที่ดินแปลงหนึ่ง. ฉันเริ่มกิจการอู่ซ่อมรถ จ้างช่างเครื่องไว้สี่คน และไม่ช้ากิจการก็ไปได้สวย.”
ฉันพบสมาคมเอ็นเอเอซีพี
“ในราว ๆ ปี 1925 ฉันพบสมาคมเอ็นเอเอซีพี [สมาคมแห่งชาติเพื่อส่งเสริมคนผิวดำ] และกระโจนเข้าร่วมเต็มตัว. บุกเกอร์ ที. วอชิงตัน บอกไว้มิใช่หรือว่า ‘จงช่วยพวกพ้องของคุณ. ช่วยพวกเขาให้เขยิบฐานะขึ้น’? สิ่งแรกที่ฉันทำก็คือ ไปหาผู้ว่าการรัฐพร้อมด้วยรายชื่อยาวเหยียดของคนผิวดำที่มีสิทธิออกเสียง ซึ่งมีบ้านเป็นของตัวเองและเสียภาษี. เขารับฟัง ซ้ำยังช่วยให้พยาบาลสาวผิวดำคนหนึ่งได้งานทำที่โรงพยาบาลประจำเทศมณฑลเดียวกับที่เคยปฏิเสธฉันมาก่อน. อย่างไรก็ตาม พวกพยาบาลผิวขาวปฏิบัติต่อเธอเลวร้ายมาก—ถึงกับเทปัสสาวะใส่ชุดเครื่องแบบทั้งหมดของเธอ—จนเธอออกไปอยู่แคลิฟอร์เนียและได้เป็นหมอ.
“ส่วนกิจการอู่ซ่อมรถของฉันไปได้ดีมากจนกระทั่งวันหนึ่งในปี 1929. ฉันเพิ่งฝากเงิน 2,000 เหรียญที่ธนาคาร และขณะที่ฉันเดินไปตามทาง ผู้คนเริ่มตะโกนกันโหวกเหวกว่าธนาคารล้มละลายแล้ว. ฉันต้องส่งเงินสำหรับอู่ซ่อมรถอีกเพียงสองงวดเท่านั้น. ฉันสูญเสียทั้งหมด. ฉันแบ่งเงินที่พอจะกู้มาได้กับช่างเครื่องของฉัน.
“ไม่มีใครมีเงิน. ฉันซื้อบ้านหลังแรกโดยนำกรมธรรม์ประกันชีวิตของฉันไปขึ้นเงินสดมาได้ 300 เหรียญ. ฉันได้บ้านมาในราคา 300 เหรียญ. ฉันขายดอกไม้, ขายไก่กับไข่; แบ่งห้องให้เช่า; ใช้เงินรายได้พิเศษซื้อที่ดินเปล่าแปลงละ 10 เหรียญ. ฉันไม่เคยหิวโหยและไม่เคยรับเงินสวัสดิการ. เรากินไข่. เรากินไก่. เราป่นกระดูกไก่ไว้เลี้ยงหมู.
“ต่อมา ฉันได้มาเป็นเพื่อนกับคุณนายเอลีเนอร์ รูสเวลต์ และเป็นเพื่อนที่สนิทมากกับ ฮิวเบิร์ต ฮัมฟรีย์. มร. ฮัมฟรีย์ช่วยให้ฉันได้ซื้อตึกอพาร์ตเมนต์ขนาดใหญ่หลังหนึ่งในตัวเมืองเซนต์พอลซึ่งเป็นบริเวณที่คนผิวขาวอยู่อาศัย. คนที่ขายอสังหาริมทรัพย์นี้เกรงว่าชีวิตของเขาจะอยู่ในอันตรายเพราะขายให้คนดำ ดังนั้น เขาจึงให้ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรกับสถานที่นั้นเป็นเวลา 12 เดือน.”
หัวเลี้ยวหัวต่อในชีวิต
“มีอะไรบางอย่างที่ผิดธรรมดาเกิดขึ้นในปี 1958 ซึ่งฉันไม่มีวันลืม. ชายผิวขาวสองคนกับชายผิวดำคนหนึ่งมาหาฉัน พวกเขากำลังหาที่พักค้างคืน. ฉันคิดว่าเป็นกลอุบายที่จะทำให้ฉันตกเข้าสู่ความยุ่งยากทางกฎหมาย ดังนั้น ฉันจึงสัมภาษณ์พวกเขาเสียหลายชั่วโมง. พวกเขาเล่าว่าเป็นพยานพระยะโฮวา กำลังเดินทางจากอีกซีกหนึ่งถึงอีกซีกหนึ่งของประเทศเพื่อไปยังการประชุมใหญ่ในนิวยอร์ก. พวกเขาแสดงให้ฉันเห็นถึงสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวเกี่ยวกับพระประสงค์ของพระเจ้าในเรื่องแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน ที่ซึ่งจะไม่มีอคติ. มนุษย์เป็นภราดรภาพ. ฉันคิดว่า ‘เป็นไปได้ไหมที่พวกเขามีสิ่งซึ่งฉันเสาะหามาตลอดเวลาหลายปี?’ พวกเขาดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างที่อ้าง—เป็นพี่น้องกัน. พวกเขาไม่ต้องการแยกกันพักในคืนนั้น.
“และแล้วหลายปีต่อจากนั้น ฉันไปเยี่ยมคนที่มาเช่าห้องอยู่ ซึ่งฉันรู้มาว่ากำลังจะเสียชีวิต. เธอชื่อมินนี. เมื่อฉันถามว่า ฉันจะทำอะไรให้เธอได้บ้าง เธอบอกว่า ‘ช่วยอ่านจากหนังสือสีน้ำเงินเล่มเล็ก ๆ ตรงนั้นให้ฉันฟังหน่อย.’ นั่นคือหนังสือความจริงซึ่งนำไปสู่ชีวิตถาวรที่จำหน่ายโดยพยานพระยะโฮวา. ดังนั้น ในการเยี่ยมแต่ละครั้ง ฉันจึงอ่านหนังสือสีน้ำเงินเล่มเล็ก ๆ นั้นมากขึ้น ๆ. แล้ววันหนึ่ง มินนีก็เสียชีวิต และเมื่อฉันไปที่อพาร์ตเมนต์ของเธอ สตรีผิวขาวชื่อเดซี เกอร์เคน อยู่ที่นั่น. ตาของเธอเกือบจะบอดสนิท. เธอบอกฉันว่า เธอศึกษาหนังสือสีน้ำเงินเล่มเล็ก ๆ นั้นกับมินนี. เดซีถามฉันว่า มีอะไรที่นี่ไหมที่ฉันอยากได้. ฉันบอกว่า ‘อยากได้แค่คัมภีร์ไบเบิลกับหนังสือสีน้ำเงินเล่มเล็ก ๆ ของเธอเท่านั้น.’
“ฉันรู้ว่าถ้าฉันติดตามสิ่งต่าง ๆ ในหนังสือสีน้ำเงินเล่มนั้น ฉันจะต้องเลิกงานทั้งหมดที่ฉันทำเพื่อพวกพ้องของฉัน. ฉันไม่อาจเล่าได้ครบทุกอย่างถึงสิ่งที่ฉันทำ ซึ่งฉันรู้สึกว่ามีคุณค่า. ฉันจัดตั้งสหภาพสำหรับพนักงานขนกระเป๋าบนรถไฟ. โดยการต่อสู้ในศาล ทำให้ได้รับสิทธิพลเมืองสำหรับบางคน. ฉันเป็นผู้นำเดินขบวน บางครั้งพร้อมกันในหลายส่วนของเมือง. ฉันต้องคอยสอดส่องว่า พวกพ้องของฉันไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย และเมื่อพวกเขาฝ่าฝืน ฉันต้องเอาพวกเขาออกจากคุก. ฉันเป็นสมาชิกสโมสรต่าง ๆ กว่าสิบแห่ง แต่เป็นสโมสรที่ทำงานเพื่อสังคมเท่านั้น.
“ดังนั้น ฉันจึงคิดว่าฉันไม่อาจจะไปมัวกังวลเกี่ยวกับภพหน้าได้. พวกพ้องของฉันกำลังทุกข์ยากอยู่ในขณะนี้! ฉันมีคณะผู้ร่วมงานกลุ่มใหญ่ในสมาคมเอ็นเอเอซีพี รวมทั้งเลขานุการผิวขาวคนหนึ่งด้วย. ตั้งแต่ปี 1937 ถึง 1959 ฉันทำหน้าที่เป็นรองนายกสมาคมเอ็นเอเอซีพีในเซนต์พอล และตั้งแต่ปี 1959 ถึง 1962 เป็นนายกสมาคม. ฉันจัดให้สี่รัฐมีการประชุมร่วมกัน และวิ่งเต้นที่นั่นเพื่อสมาคมเอ็นเอเอซีพีจะจัดการประชุมแห่งชาติขึ้นในที่สุดที่เซนต์พอล. มีการต่อสู้มากมายตลอดชีวิต ซึ่งแต่ละครั้งก็มีเรื่องเล่าทั้งนั้น. ก่อนที่ฉันจะครบเกษียณตอนอายุ 70 ในปี 1962 ฉันได้ไปเยี่ยมประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี. น่าเสียดาย ตอนนั้นฉันหมกมุ่นในการติดตามความยุติธรรมด้วยวิธีของฉันจนไม่มีที่สำหรับวิธีของพระเจ้า.”
ในที่สุดฉันพบวิถีทางเดียวที่นำไปสู่ความยุติธรรมในสังคม
“เดซี เกอร์เคน กับฉันยังคงติดต่อกันทางโทรศัพท์อยู่เสมอ และเธอมาเยี่ยมฉันทุกปี. ไม่นานหลังจากที่ฉันไปยังเมืองทูสัน รัฐแอริโซนา การบอกรับหอสังเกตการณ์ของฉันที่ได้เป็นของขวัญหมดอายุ. หัวเข่าที่เจ็บทำให้ฉันไปไหนไม่ได้ ดังนั้นเมื่อ อะเดล ซิโมเนียน ซึ่งเป็นพยานพระยะโฮวามาหา ฉันจึงอยู่บ้านได้จังหวะพอดี. เราเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลด้วยกัน. ในที่สุด ความจริงกระทบฉันอย่างจัง. ฉันตระหนักว่าฉันไม่อาจแก้ปัญหาทั้งหมดให้พวกพ้องของฉัน และ ‘ยกฐานะของพวกเขา’ ได้อย่างแท้จริง. ปัญหานั้นใหญ่ยิ่งกว่า มร. นีลี. ใหญ่ยิ่งกว่าภาคใต้. ใหญ่ยิ่งกว่าสหรัฐ. ที่จริง ใหญ่ยิ่งกว่าโลกนี้.
“นี่เป็นปัญหาระดับเอกภพ. ใครมีสิทธิครอบครองโลกนี้? มนุษย์หรือ? ซาตานศัตรูของพระเจ้าหรือ? หรือเป็นสิทธิของพระผู้สร้าง? สิทธิของพระองค์อย่างแน่นอน! เมื่อมีการจัดการกับประเด็นนี้ เมื่อนั้นอาการต่าง ๆ เกี่ยวกับความอยุติธรรมทางสังคมที่ฉันต่อสู้มาตลอดชีวิตก็จะหมดสิ้นไป. และไม่ว่าฉันจะเคยทำอะไรมาก็ตาม ไม่ว่าสำหรับคนผิวดำหรือผิวขาว เรายังคงแก่ลงและตายไป. พระเจ้าจะทำแผ่นดินโลกให้เป็นอุทยานพร้อมด้วยความยุติธรรมในสังคมสำหรับทุกคน. ฉันดีใจเป็นล้นพ้นที่มีความหวังจะมีชีวิตตลอดไปและดูแลต้นไม้และสัตว์ และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง—ซึ่งโดยวิธีนี้เป็นการทำให้พระประสงค์แรกเดิมของพระเจ้าสำเร็จ ในการสร้างชายและหญิงบนแผ่นดินโลกนี้. (บทเพลงสรรเสริญ 37:9-11, 29; ยะซายา 45:18) ฉันยังตื่นเต้นที่ได้เรียนรู้ว่า ฉันไม่ต้องไปสวรรค์และยังชีพด้วยการกินน้ำนมและน้ำผึ้ง หรือไม่ก็อดตาย!
“ฉันรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง ประการสำคัญคือที่ฉันใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปกับการแสวงหาความยุติธรรมในสังคมจากแหล่งที่ผิด. ฉันอยากมอบพลังในวัยสาวของฉันแด่พระเจ้า. ที่จริง ฉันก็คิดว่าได้ทำเช่นนั้น โดยช่วยเหลือคนอื่น. ฉันยังคงให้การช่วยเหลืออยู่ แต่ตอนนี้ช่วยโดยการชี้ให้ผู้คนเห็นความหวังเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าภายใต้พระเยซูคริสต์ พระนามเดียวภายใต้ฟ้าที่เราจะได้รับการช่วยให้รอดก็โดยทางพระนามนั้น. (มัดธาย 12:21, 24:14; วิวรณ์ 21:3-5) คุณพ่อเคยบอกขณะที่ท่านกำหมัดให้ฉันดู: ‘ถ้าลูกกำมือไว้แน่นอย่างนี้ จะไม่มีอะไรเข้าไปและไม่มีอะไรออกมา.’ ฉันต้องการแบมือออก เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่น.
“ฉันรับบัพติสมาเป็นพยานพระยะโฮวาเมื่ออายุ 87 ปี. ตอนนี้ฉันชักช้าไม่ได้เพราะเวลาของฉันเหลือน้อย. ฉันยังคงขันแข็งแต่ไม่เท่าเมื่อก่อน. ฉันเคยขาดการประชุมประจำประชาคมอาจจะเพียงสองครั้งในช่วงสองปีหลังนี้. ฉันต้องเรียนรู้ทุกสิ่งเท่าที่ฉันทำได้ เพื่อจะสอนครอบครัวของฉันให้มากเท่าที่จะมากได้เมื่อพวกเขากลับเป็นขึ้นจากตาย. ฉันออกเผยแพร่เดือนละ 20 ถึง 30 ชั่วโมงด้วยความช่วยเหลือของอะเดล.
“เอาละ สิ่งที่ฉันพูดมานี้นับเป็นเรื่องเด่น ๆ ในชีวิตของฉัน. ฉันไม่อาจเล่าให้คุณฟังทุกอย่าง มิฉะนั้นเราคงต้องนั่งคุยกันบนขอนไม้นี้เป็นอาทิตย์ ๆ.”
บัดเดี๋ยวนั้นมีงูพิษใหญ่ตัวหนึ่งเลื้อยขึ้นมาบนขอนไม้ และคุณยายแอ็ดดีร้องออกมาว่า “เจ้างูนั่นมาจากไหนกัน?” แล้วเธอก็รีบคว้าเบ็ดตกปลาและพวงปลาที่เธอตกได้ แล้วลุกหนีไป. การสัมภาษณ์จึงเป็นอันสิ้นสุดลง.—เล่าโดยแอ็ดดี คลินตัน ฟิว ให้ผู้สื่อข่าว “ตื่นเถิด!” ไม่นานหลังจากการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ แอ็ดดีได้เสียชีวิตขณะมีอายุ 97 ปี.