บท 5
สิ่งที่เรียกว่า “จิตวิญญาณ” นี้คืออะไร?
ท่านคืออะไร? ท่านคือบุคคลสองคนรวมอยู่ในคน ๆ เดียวกันอย่างแท้จริง—คือร่างกายในลักษณะมนุษย์ซึ่งมีมันสมอง หัวใจ ตา หู ลิ้น และอื่น ๆ อีก แต่ภายในตัวท่านก็ยังมีบุคคลในลักษณะวิญญาณอีกด้วยซึ่งแลไม่เห็นได้ด้วยตาคนละต่างหากกันทีเดียวจากอวัยวะแห่งร่างกาย และที่เรียกกันว่า “จิตวิญญาณ” กระนั้นไหม? หากเป็นเช่นนั้น จะมีอะไรเกิดขึ้นขณะที่ท่านตายไปนั้น? เพียงแต่ร่างกายของท่านเท่านั้นตายไป ส่วนจิตวิญญาณยังคงเป็นอยู่ต่อไปกระนั้นหรือ? ท่านสามารถทราบแน่นอนได้อย่างไร?
ในกรณีเกี่ยวกับมนุษย์แล้ว บรรดาศาสนาเกือบจะทั้งหมดสอนว่า ความตายหาใช่จุดจบแห่งชีวิตทั้งหมดไม่. ในกรณีเช่นนี้ มิใช่เพียงแต่ในบรรดาประเทศที่เรียกกันว่าอาณาจักรคริสเตียนในอเมริกาเหนือและใต้ ยุโรปและออสเตรเลียเท่านั้น แต่ในบรรดาประเทศที่ไม่นับถือศาสนาคริสเตียนในทวีปอาเซียและอาฟริกาอีกด้วย. หนังสือ ฟิวเนอรั่ล คัสทั่มส์ ดะเวิลด์ โอเว่อร์ ให้ข้อสังเกตดังนี้: “ประชาชนแห่งวัฒนธรรมต่าง ๆ ส่วนมากเชื่อว่า เมื่อตายไปนั้น มีอะไรบางสิ่งที่ออกจากร่างกายไปนั้นยังมีชีวิตดำเนินอยู่ต่อไป.”
การเชื่อถือในความไม่รู้จักตายแห่งจิตวิญญาณนั้น เป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ ในจำพวกศาสนาที่ไม่ใช่คริสเตียน. อาทิเช่น ภควัตคีตา บทจารึกศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดูอันเป็นที่นิยมนับถือกันมากที่สุดนั้น อ้างอิงถึงโดยเฉพาะเกี่ยวกับจิตวิญญาณว่าเป็นสิ่งที่ไม่รู้จักตาย. บทจารึกนั้นพรรณนาข้อนี้ไว้ในฐานะเป็นการอ้างเหตุผลสนับสนุนเรื่องการฆ่าฟันทำลายกันในสงคราม ดังต่อไปนี้:
“เมื่อร่างกายนี้ถึงคราววายปราณ
เรามีวิญญาณคงอยู่ไม่สูญ
ยั่งยืนเป็นนิตย์มีสิทธิ์จำรูญ
สู้เถิดได้บุญลูกภารตะ
ผู้เชื่อว่าตนฆ่าคนมรณะ
ผู้คิดตนจะถูกคนอื่นฆ่า
ทั้งสองชนิดคิดผิดนักหนา
เพราะตนไม่ฆ่าไม่ถูกฆ่าตาย
เขาไม่มาเกิดหรือเขาไม่ตาย
เมื่อเป็นอยู่แล้วจะไม่วายชีวี
เป็นผู้จิรังยั่งยืนศักดิ์ศรี
วิญญาณยังมีถึงกายวายชนม์
—ภควัตคีตา, 2, 18-20.
แต่จิตวิญญาณที่มีกล่าวถึง ณ ที่นี้คืออะไร? ถึงแม้จะเป็นผู้ที่เชื่อถือ อย่างแน่นแฟ้นในเรื่องความไม่รู้จักตายแห่งจิตวิญญาณของมนุษย์ก็ตาม ชาวฮินดูก็พรรณนาถึงลักษณะของจิตวิญญาณไว้ด้วยถ้อยคำที่เคลือบคลุมอยู่ทีเดียว. หนังสือ ฮินดูอิซั่ม โดยสวามี วิเวคะนันดา บอกดังต่อไปนี้:
“ชาวฮินดูเชื่อว่าจิตวิญญาณทุกดวงเป็นเช่นวงกลมซึ่งไม่มีเส้นรอบวงที่ไหนเลย ถึงแม้ว่าจะมีจุดศูนย์กลางอยู่ในร่างกายก็ตาม และเชื่อว่าความตายเพียงแต่หมายถึงการย้ายจุดศูนย์กลางนี้ออกจากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่งเท่านั้นเอง. และจิตวิญญาณนั้น ก็ไม่ถูกกำหนดขอบเขตไว้ด้วยสภาพต่าง ๆ ของสสาร. ในสภาพที่แท้จริง ของจิตวิญญาณนั้นแล้วก็นับว่ามีอิสระ ไม่มีเขตจำกัด ศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์ และสมบูรณ์. แต่ก็ไม่ด้วยเหตุใดก็เหตุหนึ่งจิตวิญญาณรู้สึกว่า ตัวเองถูกจำกัดไว้โดยสสาร และคิดเห็นว่าตัวเองเป็นเช่นเดียวกับสสาร.”
ดังนั้นความเชื่อทั่ว ๆ ไปในท่ามกลางบรรดาสมาชิกของคริสต์จักรทั้งหมดแห่งอาณาจักรคริสเตียนนั่นล่ะคืออย่างไร? ศาสตราจารย์ คัลล์แมนน์ (คณะครูฝ่ายศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยแห่งจังหวัดบาเซ็ล และซอร์บอนน์ ในนครปารีส) แถลงดังต่อไปนี้:
“หากเราจะถามคริสต์ศาสนิกชนธรรมดาทุกวันนี้สักคนหนึ่ง (ไม่ว่าจะเป็นชาวโปรเต็สตั้นท์ผู้อ่านหนังสือมาก หรือชาวคาธอลิค หรือผู้ไม่อ่านมากก็ดี) ว่าเขามีความเห็นอย่างไรบ้างในเรื่องคำสอน ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เกี่ยวด้วยเคราะห์กรรมของมนุษย์หลังจากที่ตายไปแล้ว. ยกเว้นไม่กี่รายเท่านั้นเราก็จะได้รับคำตอบว่า: ‘จิตวิญญาณไม่รู้จักตาย.’”
ครั้นซักถามเกี่ยวด้วยลักษณะของ “จิตวิญญาณ” เข้า บรรดาสมาชิกของคริสต์จักรแห่งอาณาจักรคริสเตียนก็เหมือนกัน คือให้คำตอบด้วยถ้อยคำที่เคลือบคลุมไม่แจ่มชัด. เขาเหล่านั้นหาได้มีความคิดความเข้าใจที่กระจ่างแจ้งไม่เกี่ยวกับจิตวิญญาณที่ไม่รู้จักตายยิ่งไปกว่าบรรดาผู้ซึ่งยึดถือศาสนาต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ศาสนาคริสเตียน. ทั้งนี้ย่อมก่อให้เกิดปัญหาขึ้นว่า พระคัมภีร์ไบเบิ้ลสอนว่าจิตวิญญาณคือส่วนประกอบอันไม่รู้จักตายของมนุษย์ไหม?
จิตวิญญาณไม่รู้จักตายหรือ
คำ “จิตวิญญาณ” ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมีปรากฏในฉบับแปลหลายฉบับตามที่แปลคำภาษาฮีบรู เน่เฟ็ช และคำภาษากรีก พซีเค่. (อาทิเช่น โปรดดู ยะเอศเคล 18:4 และ มัดธาย 10:28 ในฉบับแปลออธอไรสด์ เวอร์ชั่น, นิว อิงก์ลิฌ ไบเบิ้ล, รีไวสด์ สแตนดาร์ด เวอร์ชั่น และดูเอย์ เวอร์ชั่น.) ถ้อยคำภาษาฮีบรูและภาษากรีกอย่างเดียวกันนี้ได้รับการแปลเช่นกัน ว่า “ผู้เป็นอยู่” “สัตว์ที่ทรงสร้างขึ้น” และ “คน.” โดยไม่คำนึงถึงว่าพระคัมภีร์ของท่านแปลคำภาษาเดิมเป็น “จิตวิญญาณ” อย่างที่เสมอต้นเสมอปลาย (ดังเช่น นิว เวิลด์ ทรานซ์เลชั่น) นั้นหรือไม่ก็ตาม การตรวจพิจารณาดูข้อซึ่งมีคำเน่เฟ็ช และพซีเค่ มีปรากฏอยู่นั้นย่อมจะช่วยท่านให้แลเห็นว่า คำเหล่านี้หมายความว่ากระไรสำหรับประชาชนของพระเจ้าในสมัยก่อนโน้น. เช่นนี้แล้วท่านก็จะสามารถตัดสินใจได้เองในเรื่องลักษณะที่แท้จริงของจิตวิญญาณ.
ตอนที่พรรณนาถึงการทรงสร้างอาดามมนุษย์คนแรกนั้นหนังสือพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเล่มแรกมีบอกดังนี้: “พระยะโฮวาพระเจ้าจึงทรงปั้นมนุษย์ขึ้นด้วยผงคลีดิน และทรงระบายลมแห่งชีวิตเข้าทางรูจมูก และมนุษย์นั้นก็เกิดเป็นจิตวิญญาณ [เน่เฟ็ช] ที่มีชีวิตอยู่.” (เยเนซิศ 2:7) เราอาจจะสังเกตเห็นได้ว่าพระคัมภีร์มิได้บอกว่า ‘มนุษย์ได้รับจิตวิญญาณ’ แต่บอกว่า “มนุษย์นั้นจึงเกิดเป็นจิตวิญญาณที่มีชีวิตอยู่.”
คำสอนของคริสเตียนในศตวรรษแรกนั้นแตกต่างไปจากความคิดความเข้าใจเช่นนี้ในเรื่อง “จิตวิญญาณ” ไหม? เปล่าเลย. ในพระคัมภีร์ที่เรียกกันทั่ว ๆ ไปว่า “พระคริสต์ธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่” นั้น ถ้อยแถลงเกี่ยวด้วยการทรงสร้างอาดามนั้นได้มีการนำขึ้นมากล่าวในฐานะเป็นความจริงดังนี้: “เหมือนมีคำจารึกไว้ว่า ‘อาดามมนุษย์คนแรกนั้นเกิดเป็นจิตวิญญาณที่มีชีวิตอยู่.’” (1 โกรินโธ 15:45) เกี่ยวกับข้อนี้ในภาษาเดิม ปรากฏว่า คำที่ใช้สำหรับจิตวิญญาณก็คือ พซีเค่. ฉะนั้นคำภาษากรีกพซีเค่ในคัมภีร์ข้อนี้ก็เช่นเดียวกันกับคำภาษาฮีบรูเน่เฟ็ช ที่ระบุไว้นั้นหาใช่วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งไม่ปรากฏแก่ตาอาศัยอยู่ในตัวมนุษย์ไม่ หากแต่เป็นตัวมนุษย์เอง. ดังนั้นจึงนับว่าถูกต้องแล้วที่ผู้แปลพระคัมภีร์บางคนแลเห็นว่า เหมาะที่จะใช้คำต่าง ๆ เหล่านั้นดัง เช่น “ผู้เป็นอยู่” “สัตว์ที่ทรงสร้างขึ้น” และ “คน” ในการแปลของเขาเกี่ยวกับเยเนซิศ 2:7 และ 1 โกรินโธ 15:45 นั้น.—นิวอิงก์ลิฌ ไบเบิ้ล, ยังส์ ลิเทอรั่ล ทรานซ์เลชั่น, รีไวสด์ สแตนดาร์ดเวอร์ชั่น; เทียบกับ ดะ ไบเบิ้ล อิน ลิฟวิ่ง อิงก์ลิฌ, ซึ่งใช้คำ “คน” ในเยเนซิศ 2:7 แต่ใช้คำ “จิตวิญญาณ” ใน 1 โกรินโธ 15:45.
เป็นที่น่าสังเกตว่าได้มีการใช้คำเน่เฟ็ช และพซีเค่ กับบรรดาสัตว์บกทั้งหลายด้วยเช่นกัน. เกี่ยวด้วยการทรงสร้างสัตว์น้ำ และสัตว์บกทั้งปวงนั้น พระคัมภีร์บอกดังนี้: “พระเจ้าตรัสต่อไปว่า: ‘จงให้น่านน้ำทั้งหลายเนืองแน่นไปด้วยบรรดาจิตวิญญาณทั้งปวงที่มีชีวิตอยู่ [“ฝูงสัตว์” ในพระคัมภีร์ภาษาไทย] และจงให้ฝูงสัตว์ที่บินได้บินไปมาเหนือแผ่นดินโลก’ . . . พระเจ้าทรงสร้างบรรดาสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ และจิตวิญญาณที่มีชีวิตอยู่ทุกชนิดซึ่งแหวกว่ายไปมาในน้ำ . . . ‘จงให้แผ่นดินโลกบังเกิดจิตวิญญาณทั้งปวงที่มีชีวิตอยู่ตามชนิดของมันคือสัตว์เลี้ยงและสัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่าทั้งปวงตามชนิดของมัน.’”—เยเนซิศ 1:20-24.
หลักฐานอ้างอิงถึงสัตว์ในฐานะเป็นจิตวิญญาณเช่นนั้นหาได้มีจำกัดอยู่แต่ในหนังสือเล่มแรกของพระคัมภีร์เท่านั้นไม่. ตั้งแต่หนังสือพระคัมภีร์เล่มแรกจนกระทั่งเล่มสุดท้ายนั้น สัตว์ก็ยังถูกระบุชัดอยู่ต่อมาในฐานะเป็นจิตวิญญาณ. มีจารึกไว้ว่า: “จงชักเอาส่วนจากทหารที่ออกไปทำการสงคราม มาเป็นของถวายแด่พระยะโฮวา คือชักเอาหนึ่งจิตวิญญาณ [เน่เฟ็ช] จากจำนวนห้าร้อย ทั้งคนและวัวและลาและฝูงแกะ.” (อาฤธโม 31:28) “คนชอบธรรมย่อมระวังเอาใจใส่ในเรื่องจิตวิญญาณ [เนเฟ็ช] แห่งสัตว์เลี้ยงของตน.” (สุภาษิต 12:10) “จิตวิญญาณ [พซีเค่] ทุกอย่างที่มีชีวิตอยู่ในทะเลนั้นก็ตายหมด.”—วิวรณ์ 16:3.
การเอาคำ “จิตวิญญาณ” มาใช้กับสัตว์ก็นับว่าเหมาะทีเดียว. เป็นการสอดคล้องลงรอยกันกับข้อคิดอันเป็นความหมายขั้นพื้นฐานของคำ เน่เฟ็ชภาษาฮีบรูนั้น. เข้าใจกันว่าคำนี้มาจากรากฐานซึ่งหมายความว่า “หายใจ” เนื่องจากเหตุนี้ ตามความหมายที่เป็นไปตามตัวอักษรแล้ว จิตวิญญาณก็คือ “ผู้ที่หายใจ” และจริงทีเดียวสัตว์ก็เป็นสิ่งที่หายใจ. เหล่านี้คือสรรพสัตว์ที่หายใจมีชีวิตอยู่.
ในเรื่องการนำมาใช้กับมนุษย์นั้นคำเน่เฟ็ชและพซีเค่ถูกนำมาใช้หลายครั้งคือ อย่างที่หมายถึงตัวบุคคลแท้ ๆ ทีเดียว. เราได้อ่านในพระคัมภีร์ว่า จิตวิญญาณที่เป็นมนุษย์ย่อมมีการเกิด. (เยเนซิศ 46:18) จิตวิญญาณรับประทานได้หรืออดอาหารก็ได้. (เลวีติโก 7:20; บทเพลงสรรเสริญ 35:13) จิตวิญญาณร้องไห้และอ่อนเพลียสิ้นสติได้. (ยิระมะยา 13:17; โยนา 2:7) จิตวิญญาณสามารถกล่าวคำสาบานได้มีความอยาก และยอมแพ้ต่อความกลัวก็ได้. (เลวีติโก 5:4: พระบัญญัติ 12:20; กิจการ 2:43) ใคร ๆ อาจลักพาเอาจิตวิญญาณไปกักขังหรือเรียกค่าไถ่ก็ได้. (พระบัญญัติ 24:7) จิตวิญญาณอาจถูกไล่ตามก็ได้และถูกใส่ตรวนไว้ก็ได้. (บทเพลงสรรเสริญ 7:5; 105:18) อะไรต่ออะไรต่าง ๆ เหล่านี้มีการกระทำโดยคนซึ่งมีร่างกายเนื้อหนังหรือกระทำกับคนซึ่งมีร่างกายเนื้อหนังมิใช่หรอกหรือ? ข้อคัมภีร์เหล่านี้พิสูจน์ไว้อย่างชัดเจนว่า จิตวิญญาณมนุษย์ก็คือตัวมนุษย์แท้ ๆ ทีเดียวมิใช่หรือ?
นักศึกษาพระคัมภีร์แห่งศตวรรษที่ยี่สิบเป็นจำนวนมากมาย คือชาวคาธอลิค ชาวโปรเต็สตั้นท์ และชาวยิว ต่างก็ได้มาลงความเห็นกันเช่นนี้. โปรดสังเกตดูความเห็นของพวกเขาดังต่อไปนี้:
“ข้อคัมภีร์ที่เด่นในเยเนซิศ [2:7] หาได้กล่าวอย่างที่มักมีการสมมุติกันว่า มนุษย์ประกอบด้วยร่างกายและจิตวิญญาณไม่ คัมภีร์ข้อนั้นบอกว่า ยาห์เวห์ทรงปั้นรูปมนุษย์ขึ้นด้วยธาตุดินจากพื้นดิน และครั้นแล้วจึงทรงทำให้รูปปั้นนั้นมีชีวิต โดยระบายลมแห่งชีวิตเข้าทางรูจมูกของรูปปั้นนั้น ดังนั้นมนุษย์นั้นจึงกลายเป็นผู้มีชีวิตอยู่ ซึ่งทั้งหมดที่เน่เฟ็ช [จิตวิญญาณ] หมายถึง ณ ที่นี้.”—เอ็ช. วีเลอร์ โรบินสันแห่งวิทยาลัยรีเจนทส์ ปาร์ค ลอนดอน ใน ไซท์ฌริฟท์ เฟอร์ ดี อัลท์เท็ส ทาเม็นท์ลิชี วิซเซนฌาฟท์ (วารสารสำหรับวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม) เล่ม 41 (1923).
“ไม่ต้องนึกถึงมนุษย์ในฐานะที่มีจิตวิญญาณ: ตัวเขานั่นเองแหละคือจิตวิญญาณ.”—อี. เอฟ. คีแวน อาจารย์ใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยพระคัมภีร์ประจำกรุงลอนดอน ในหนังสือ ดะ นิว ไบเบิ้ล คอมเม็นเทรี (1965), ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 หน้า 78.
“จิตวิญญาณในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมนั้น หาได้หมายถึงส่วนประกอบของมนุษย์ไม่ แต่หมายถึงตัวมนุษย์ล้วน ๆ โดยเฉพาะคือมนุษย์ในฐานะเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่. ทำนองเดียวกัน ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ก็หมายถึงชีวิตมนุษย์: ชีวิตของแต่ละบุคคลที่รู้จักคิดนึก.”—นิว คาธอลิค เอนไซคโลพีเดีย (1967) เล่มที่ 13 หน้า 467.
“พระคัมภีร์หาได้บอกว่าเรามีจิตวิญญาณไม่. ‘เน่เฟ็ช’ ก็คือตัวบุคคลเอง ความจำเป็นของเขาในเรื่องอาหาร โลหิตในเส้นโลหิตของเขา ความมีชีวิตอยู่ของเขา.”—ดร. เอ็ช. เอ็ม. ออร์ลินสกี้ แห่งยูเนี่ยนวิทยาลัยของชาวฮีบรูนำมากล่าวในหนังสือพิมพ์ นิวยอร์ค ไทม์ วันที่ 12 ตุลาคม 1962.
ดูเหมือนว่าแปลกสำหรับท่านใช่ไหม ในการที่พวกนักศึกษาแห่งศาสนานิกายต่าง ๆ หลายนิกายเวลานี้บอกว่า จิตวิญญาณคือตัวมนุษย์เอง? ท่านเคยได้รับการสั่งสอนมาเช่นนี้ไหม? หรือว่าท่านได้รับการสั่งสอนว่าจิตวิญญาณคือส่วนประกอบของมนุษย์ที่ไม่รู้จักตาย? หากเป็นดังนี้แล้ว คำสอนเช่นนี้แสดงผลประการใดแก่ท่านบ้าง? คำสอนเช่นนี้ได้กระตุ้นท่านให้ใช้เงินทองไปเพื่อจุดมุ่งหมายทางศาสนาซึ่งมิฉะนั้นแล้ว ท่านก็คงจะได้นำเอาไปใช้เพื่อสิ่งจำเป็นต่าง ๆ เกี่ยวกับชีวิตกระนั้นไหม? จะเป็นไปได้ไหมว่าคริสต์จักรของท่านไม่สุจริตใจในเรื่องคำสั่งสอน? ใครล่ะเป็นฝ่ายถูก—คริสต์จักรหรือว่าพวกนักศึกษาแห่งคริสต์จักรเอง?
ถ้าพวกนักศึกษาเป็นฝ่ายถูก ในการที่กล่าวว่าจิตวิญญาณมนุษย์ ก็คือตัวบุคคลแท้ ๆ รวมทั้งร่างกายที่ประกอบด้วยเนื้อหนังเช่นนั้นแล้ว เราก็ควรคาดหมายได้ว่า พระคัมภีร์ย่อมจะกล่าวพาดพิงถึงจิตวิญญาณในฐานะเป็นสิ่งซึ่งตายได้. จริงไหม? จริงทีเดียว. พระคัมภีร์พูดถึงการ ‘ยึดหน่วง’ และ ‘ช่วย’ เน่เฟ็ชหรือจิตวิญญาณให้พ้นจากความตาย. (บทเพลงสรรเสริญ 78:50; 116:8; ยาโกโบ 5:20) เราได้อ่านอีกด้วยดังนี้ “จงอย่าให้เราตีจิตวิญญาณของเขาให้ถึงแก่ความตายเลย.” (เยเนซิศ 37:21) “คนที่ได้ทำให้จิตวิญญาณถึงแก่ความตายโดยมิได้เจตนา จะต้องหนีไปยังที่นั่น.” (อาฤธโม 35:11) “จิตวิญญาณของเขาจะตายไปในวัยหนุ่มแน่น.” (โยบ 36:14) “จิตวิญญาณที่กระทำบาป จิตวิญญาณนั้นเองจะตาย.”—ยะเอศเคล 18:4, 20.
แต่จะเป็นไปได้ไหมว่าอย่างน้อยที่สุด ตามข้ออ้างอิงไม่กี่ข้อในพระคัมภีร์ ซึ่งถ้อยคำภาษาดั้งเดิมนั้นแปลคำ “จิตวิญญาณ” โดยระบุถึงอะไรบางอย่างที่ออกจากร่างกายเมื่อตายไปนั้นและก็ไม่รู้จักตาย? จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับข้อคัมภีร์เหล่านั้นดังต่อไปนี้? “ขณะที่จิตวิญญาณของนางกำลังจะออกจากกาย (เพราะนางถึงแก่ความตาย) นั้น นางจึงเรียกชื่อบุตรนั้นว่า เบนโอนี.” (เยเนซิศ 35:18) “พระเจ้าของข้าพเจ้าโปรดให้จิตวิญญาณของเด็กนี้กลับเข้ามาสู่ตัวเขาอีก.” (1 กษัตริย์ 17:21) “อย่าโวยวายไปเลย ด้วยว่าจิตวิญญาณยังอยู่ในตัวเขา.” (กิจการ 20:10) ข้อคัมภีร์เหล่านี้มิได้แสดงหรอกหรือว่าจิตวิญญาณคืออะไรบางอย่าง ที่มีความเป็นอยู่ต่างหากจากร่างกาย?
พระธรรมโยบ 33:22 ซึ่งมีการจารึกแบบกวีนิพนธ์นั้น ได้ให้ข้อไขเพื่อความเข้าใจในข้อคัมภีร์เหล่านี้. ในข้อนั้นได้มีการจัดเอาคำ “จิตวิญญาณ” และ “ชีวิต” เข้าไว้ในทำนองที่คล้ายคลึงกัน ดังนั้นคำสองคำนี้จึงนำเอามาใช้สับเปลี่ยนกันได้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงความหมายของข้อคัมภีร์ ดังที่เราจะได้อ่านต่อไปนี้: “จิตวิญญาณของเขาเข้ามาใกล้หลุม (ฝังศพ) และชีวิตของเขาเข้ามาใกล้คนเหล่านั้นที่ทำให้ถึงซึ่งความตาย.” เนื่องจากความคล้ายคลึงกันเช่นนี้ เราจึงสามารถแลเห็นได้ว่า คำ “จิตวิญญาณ” สามารถหมายถึงชีวิตได้ในฐานะเป็นบุคคล และเพราะฉะนั้นการที่จิตวิญญาณล่วงลับไปนั้นจึงสามารถเป็นที่เข้าใจได้ว่า หมายถึงตอนสิ้นสุดลงแห่งชีวิตในฐานะเป็นบุคคล.
ยกตัวอย่างเช่น: คนเราอาจพูดก็ได้ว่าสุนัขของตน ‘เสียชีวิตไป’ ขณะที่ถูกรถชน. นั่นจะหมายความว่าชีวิตของสัตว์ตัวนี้ออกจากร่างไปและก็ยังคงสภาพเป็นอยู่ต่อ ๆ ไปกระนั้นหรือ? เปล่าเลย เขาเพียงแต่ใช้สำนวนพูดซึ่งแสดงว่า สัตว์นั้นตายไปแล้วเท่านั้นเอง. เป็นความจริงอย่างเดียวกัน เมื่อ เราพูดเกี่ยวกับคนใด ๆ ว่า เขา ‘เสียชีวิต’ ไปนั้น. เรามิได้หมายความว่าชีวิตของเขายังคงอยู่ต่อไปอีกต่างหากจากร่างกาย. เช่นเดียวกัน ‘การสูญเสียจิตวิญญาณของคนเรา’ ย่อมหมายถึง ‘การสูญเสียชีวิตในฐานะเป็นจิตวิญญาณ’ และมิได้หมายถึงการมีชีวิตอยู่ต่อไปหลังจากที่ตายไปแล้ว. เพื่อรับรองข้อนี้ ดะ อินเทอร์เพรเท่อส์ ดิคชันนารี่ อ็อฟ ดะ ไบเบิ้ล แถลงดังต่อไปนี้:
” ‘การจากไป’ ของเน่เฟ็ช (จิตวิญญาณ) นั้นจำต้องได้มีการมองดูในฐานะที่เป็นสำนวนของการพูด เพราะจิตวิญญาณหาใช่ว่าคงสภาพเป็นอยู่ต่อไปอีกต่างหากจากร่างกายไม่ แต่ว่าตายไปในขณะเดียวกัน (อาฤธโม 31:19; ผู้วินิจฉัย 16:30; ยะเอศเคล 13:19). ไม่มีข้อพระคัมภีร์ใด ๆ ที่อ้างเหตุผลสนับสนุนถ้อยแถลงที่ว่า ‘จิตวิญญาณ’ แยกออกจากร่างกายในขณะที่ถึงซึ่งความตายนั้น.”
แหล่งกำเนิดแห่งความเชื่อ
พยานหลักฐานซึ่งตรงกับพระคัมภีร์นั้นเป็นที่กระจ่างแจ้งอย่างแน่แท้ว่า มนุษย์มิได้มีจิตวิญญาณที่ไม่รู้จักตาย หากแต่ตัวเองเองคือจิตวิญญาณ. ดังนั้นแล้วความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณไม่รู้จักตายนี้มีลู่ทางเข้าไปสู่คำสอน แห่งคริสต์จักรต่าง ๆ ของอาณาจักรคริสเตียนได้โดยวิธีใด? ทุกวันนี้ก็มีการยอมรับกันอย่างเปิดเผยแล้วว่า เรื่องนี้ได้บังเกิดขึ้นโดยอิทธิพลแห่งปรัชญาแบบนอกรีตของชาติ กรีก. ศาสตราจารย์ดั๊กลัส ที. โฮลเด็น เขียนลงไว้ในหนังสือของเขาซึ่งมีชื่อว่า เด็ธ แช็ล แฮ็ฟ โน โดมินยั่น ดังนี้:
“ศาสนศาสตร์ฝ่ายคริสเตียนถูกหลอมละลายเข้าด้วยกันจริง ๆ กับปรัชญาของชาติกรีกจนกระทั่งเพาะบรรดาชนที่มีความคิดแบบผสม คือความคิดของชาติกรีกเก้าส่วนกับความคิดฝ่ายคริสเตียนหนึ่งส่วน.”
วารสารของคาธอลิคคัมมั่นวีล ในฉบับวันที่ 15 มกราคม 1971 ยอมรับว่าความคิดในเรื่องจิตวิญญาณไม่รู้จักตายนั้นเป็นจินตนาการที่ “ชนชาติยิวในสมัยหลัง ๆ และชนคริสเตียนรุ่นแรกได้รับช่วงมาจากชนชาวเอเธ่นส์.”
ใครจะรับผิดชอบในเรื่องการเอาความคิดนึกของชาติกรีกชนนอกรีตกับความคิดนึกฝ่ายคริสเตียนเข้ามาผสมผสานกันเช่นนี้? พวกหัวหน้าศาสนามิใช่หรอกหรือ? แน่นอนบรรดาสมาชิกแห่งคริสต์จักร หาได้คิดนึกขึ้นมาด้วยตนเองไม่เกี่ยวกับคำสอนเช่นนี้ คือคำสอนที่พวกนักศึกษาพระคัมภีร์ ยอมรับอย่างเปิดเผยเวลานี้ว่าไม่มีหลักมาจากพระคัมภีร์.
แต่ก็ชนชาติกรีกสมัยโบราณได้รับหลักทางศาสนาขั้นพื้นฐานมาจากไหน? ดังที่ได้แจ้งให้ทราบแล้ว มีพยานหลักฐานอย่างแข็งแรงว่าความคิดเห็นทางด้านศาสนาของชนชาติกรีก และชนชาติอื่น ๆ นั้นตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของชนชาติบาบุโลน. และในเรื่องความเชื่อถือของชาวบาบุโลนเกี่ยวกับจิตวิญญาณนั้นแล้ว จงสังเกตดูบทความที่ ดิ อินเทอร์แนชั่นนั่ล สแตนดาร์ด ไบเบิ้ล เอ็นไซคโลพีเดีย ซึ่งมีบอกดังนี้:
“มีการสันนิษฐานกันว่าจิตวิญญาณมนุษย์ยังคงดำรงชีวิตอยู่ต่อไปหลังจากที่ตายไปแล้ว. . . . ชาวบาบุโลน . . . มักเอาสิ่งของต่าง ๆ ใส่เข้าไว้พร้อมกับคนตาย อันเป็นสิ่งซึ่งเขาอาจใช้ประโยชน์ได้ในชีวิตอนาคต. . . . ในโลกอนาคตนั้นดูประหนึ่งว่ามีการแบ่งชั้นวรรณะในจำพวกคนตาย. คนเหล่านั้นผู้ที่ตายในสนามรบ ดูเหมือนได้รับการสงเคราะห์เป็นพิเศษ. พวกเขาได้รับน้ำสำหรับดื่ม ส่วนพวกเหล่านั้นผู้ซึ่งไม่มีลูกหลานที่จะเอาสิ่งของมาบวงสรวงเซ่นไหว้ที่หลุมฝังศพ ก็ต้องทนรับความขาดแคลนอย่างแสนสาหัสหลายอย่าง.”
ดังนั้นชนชาติกรีกคงสามารถรับเอาความคิดอันเป็นมูลรากเกี่ยวด้วยความไม่รู้จักตายแห่งจิตวิญญาณนั้นจากบาบุโลนได้อย่างง่ายดาย ซึ่งครั้นแล้วพวกนักปรัชญาชาติกรีกก็ขยายความคิดเห็นเหล่านั้น ทำให้กว้างขวางออกไปอีก.
บางสิ่งบางอย่างที่คล้ายคลึงกันก็ดูเหมือนว่าเกิดขึ้นกับศาสนาต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ศาสนาคริสเตียนซึ่งยังคงมีอยู่ในทุกวันนี้. อาทิเช่น เมื่อเปรียบเทียบอารยธรรมสมัยก่อนโน้นของแคว้นแม่น้ำอินดัสอันเป็นแหล่งซึ่งศาสนาฮินดูเป็นศาสนาที่สำคัญนั้น กับอารยธรรมของแหล่งเมโซโปเตเมียแล้วก็เผยให้เห็นถึงความคล้ายคลึงกันอันเป็นที่สะดุดตาหลายอย่าง. ความคล้ายคลึงกันเหล่านี้นับรวมทั้งสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ทางฝ่ายศาสนาแห่งเมโซโปเตเมียและรูปที่ใช้เป็นเครื่องหมายซึ่งมีความคล้ายคลึงกันอย่างมากมายกับรูปที่ใช้ในเมโซโปเตเมียเมื่อสมัยแรก ๆ นั้น. โดยยึดเอาการศึกษาของเขาเป็นหลัก แซมิวเอล เอน. เครเม่อร์ นักศึกษาผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอัสซีเรียโบราณให้ข้อคิดว่า ประชาชนผู้ที่หนีมาจากเมโซโปเตเมียคราวเมื่อพวกซูเมเรี่ยนเข้ายึดครองดินแดนนั้นได้พากันเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในแคว้น แม่น้ำอินดัส. ดังนั้นแล้วจึงไม่เป็นการยากที่จะเข้าใจว่าศาสนาฮินดูได้รับความเชื่อในเรื่องวิญญาณไม่รู้จักตายนั้นมาจากแหล่งไหน.
ด้วยเหตุนี้ พยานหลักฐานจึงชี้ไปยังบาบุโลนในฐานะเป็นแหล่งกำเนิดที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งความเชื่อถือในเรื่องที่ว่า จิตวิญญาณมนุษย์ไม่รู้จักตายนั้นออกมาจากแหล่งนี้ และแผ่กระจายไปจนกระทั่งสุดปลายแผ่นดินโลก. และที่บาบุโลนนี้เองตามเรื่องราวในพระคัมภีร์แล้ว การจลาจลต่อพระเจ้าได้เกิดขึ้น. ในตัวเองแล้ว นั่นคงจะเป็นเหตุผลพอเพียงในการที่จะมองดูหลักคำสอนเรื่องจิตวิญญาณไม่รู้จักตายด้วยใช้ความระมัดระวัง แต่ก็ดังที่เรามองเห็นอยู่แล้ว อย่าลืมว่าคำสอนเช่นนี้แย้งกันกับพระคัมภีร์โดยตรงด้วย.
ยิ่งไปกว่านั้น ความคิดเห็นที่ว่าจิตวิญญาณไม่รู้จักตายนั้นตรงกันข้ามกับสิ่งที่ท่านได้สังเกตดูด้วยตนเองมาแล้วมิใช่หรือ? ยกตัวอย่าง เป็นไปประการใดขณะที่เราถูกชนจนหมดสติเป็นลมไป หรือถูกวางยาระงับความรู้สึกที่โรงพยาบาล? ถ้า “จิตวิญญาณ” ของเขาคืออะไรบางอย่าง ที่แยกออกเป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากร่างกายจริง ๆ และสามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างรู้จักเหตุผลได้ต่างหากจากร่างกาย ถึงกับแม้แต่ความตายเองก็ไม่กระทบกระเทือนความเป็นอยู่และกิจปฏิบัติต่าง ๆ ของมันเช่นนั้นแล้ว ไฉนเล่าบุคคลคนนั้นในระหว่างที่มีอาการหมดความรู้สึกจึงไม่ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับกิจการทุกอย่างรอบ ๆ ตัวเขานั้นโดยสิ้นเชิง? ไฉนเล่าเขาจึงจะต้องได้รับการบอกเล่าภายหลังต่อมาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเวลานั้น? ถ้า “จิตวิญญาณ” ของเขาสามารถมองเห็นได้ ได้ยิน รู้สึกและคิดนึกได้หลังจากที่ตายไป ดังที่ศาสนาทั้งหลายสอนกันทั่ว ๆ ไปเช่นนั้นแล้ว เหตุไฉนบางสิ่งบางอย่างที่รุนแรงน้อยเสียกว่าความตายมากนัก อาทิเช่นระยะเวลาที่ไม่รู้สึกตัวนั้นจึงทำให้การปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้ทั้งหมดยุติลงเล่า?
นอกจากนี้ ร่างกายที่ตายไปแล้วไม่ว่าจะเป็นร่างกายของมนุษย์ หรือร่างของสัตว์ก็ตาม ในที่สุดก็กลับคืนไปสู่ธาตุที่มาจากพื้นดินนั่นเอง. ในเรื่องความตายแล้ว ไม่มีอะไรเลยที่จะถือได้ว่ามีจิตวิญญาณที่ไม่รู้จักตายซึ่งดำรงชีพอยู่ต่อ ๆ ไป.
ผลแห่งหลักคำสอนเกี่ยวกับจิตวิญญาณไม่รู้จักตาย
การที่คนเราเชื่อถือในเรื่องจิตวิญญาณนั้นเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมิใช่เล็กน้อย.
คำสอนเกี่ยวกับความไม่รู้จักตายแห่งจิตวิญญาณมนุษย์นั้นเคยมีการนำมาใช้ข่มสติรู้สึกผิดชอบของประชาชนในสมัยสงคราม. บรรดาหัวหน้าศาสนาทำให้ดูเหมือนว่าการทำลายชีวิตมิใช่เป็นสิ่งเลวร้ายเท่าใดนัก เพราะพวกที่ถูกฆ่าตายนั้นแท้ที่จริงแล้วเขาหาได้ตายไปจริง ๆ ไม่หรอก. และคนเหล่านั้นผู้ที่ตายไปในการสู้รบกับฝ่ายศัตรูย่อมได้รับคำมั่นสัญญาที่จะประสบซึ่งความสุขสำราญ. คำพูดอันพอจะเป็นตัวอย่างได้ดังที่มีรายงานแถลงไว้ในหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทมส์ ประจำวันที่ 11 กันยายน 1950 ดังนี้: “บิดามารดาผู้เป็นทุกข์โทมนัสผู้ซึ่งลูกชายถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร หรือถูกเรียกกลับไปเข้าประจำหน้าที่ทำการต่อสู้นั้น ได้รับการบอกเล่าเมื่อวานนี้ที่โบสถ์ เซนต์แพทริคว่าการตายในสงครามนั้นเป็นส่วนประกอบแห่งโครงการของพระเจ้าเพื่อบรรจุพลเมืองแห่ง ‘ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์.’” ความคิดเห็นที่มีแสดงไว้ ณ ที่นี้แตกต่างกันไม่มากเท่าใดนักจากคำสอนของชนบาบุโลนสมัยก่อนโน้นที่ว่าพวกซึ่งตายไปในการสงครามนั้นได้รับความโปรดปรานพิเศษ.
การกล่าวบิดเบือนเกี่ยวกับสิ่งที่พระคัมภีร์บอกไว้ในเรื่องจิตวิญญาณเช่นนั้น จึงเท่ากับมีส่วนสนับสนุนการทำให้ชีวิตมนุษย์เสื่อมค่า และทำให้ประชาชนรู้สึกว่าจำต้องพึ่งอาศัยระเบียบการศาสนาใหญ่ ๆ ซึ่งอ้างสิทธิอย่างไม่ถูกต้องในการดูแลเอาใจใส่เรื่องจิตวิญญาณของตน.
ครั้นได้มาทราบสิ่งต่าง ๆ เช่นนี้เข้าแล้ว ท่านจะทำประการใด? เป็นที่ปรากฏชัดว่าพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ ผู้ซึ่งพระองค์นั่นเองทรงเป็น “พระเจ้าแห่งความจริง” และเป็นผู้ซึ่งเกลียดชังการพูดมุสา จะไม่ทรงมองดูฐานกรุณาต่อประชาชนผู้ที่ยึดมั่นอยู่กับบรรดาองค์การที่สั่งสอนความไม่จริง. (บทเพลงสรรเสริญ 31:5; สุภาษิต 6:16-19; วิวรณ์ 21:8) และแท้จริงแล้ว ท่านปรารถนาแม้แต่จะคบหาสมาคมกับศาสนาใดศาสนาหนึ่งที่ไม่สุจริตซื่อตรงต่อท่านเช่นนั้นไหม?
[รูปภาพหน้า 54]
ทั้งหมดเหล่านี้เป็นจิตวิญญาณ