ความปีติยินดีที่ผมได้รับจากการรับใช้พระยะโฮวา
เล่าโดยจอร์จ บรัมลีย์
ผมเพิ่งเสร็จการสอนวิชาวิทยุให้กับนักเรียนนายร้อยตำรวจของจักรพรรดิเฮลี เซแลสซีเมื่อนักเรียนคนหนึ่งบอกผมเป็นส่วนตัวว่าเขารู้ว่าผมเป็นมิชชันนารีพยานพระยะโฮวา. เขาถามอย่างกระตือรือร้นว่า “คุณจะสอนพระคัมภีร์ให้ผมได้ไหมครับ?”
เนื่องจากงานของเราในเวลานั้นถูกสั่งห้ามในเอธิโอเปีย ผมอาจจะถูกขับไล่ออกจากประเทศ เหมือนพยานฯคนอื่น ๆ ได้ประสบ ถ้าเจ้าหน้าที่ทราบเกี่ยวกับตัวผมเข้า. ผมจึงสงสัยว่านักเรียนคนนั้นจริงใจหรือเปล่า หรือว่าเขาเป็นคนของรัฐบาลที่ถูกส่งมาล่อผมให้ติดกับ. ในฐานะหัวหน้าครอบครัวพร้อมด้วยลูกเล็ก ๆ สามคนที่ต้องเลี้ยงดู ความคิดเกี่ยวกับการสูญเสียงานและถูกบังคับให้ออกจากประเทศและละทิ้งเพื่อน ๆ ซึ่งผมได้พัฒนาความรักต่อพวกเขาแล้วนั้นทำให้ผมหวั่นกลัว.
คุณอาจถามว่า ‘แต่คนอเมริกันพร้อมด้วยครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดูยินดีมาอาศัยอยู่ในแอฟริกาตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งห่างไกลจากบ้านและญาติได้อย่างไร?’ ขอให้ผมอธิบาย.
เติบโตในสหรัฐฯ
ในทศวรรษปี 1920 ตอนที่ผมยังอยู่ในโรงเรียนประถม คุณพ่อของผมบอกรับวารสารว็อชเทาเวอร์ และรับหนังสือชุดคู่มือการศึกษาพระคัมภีร์. คุณพ่อชอบอ่านหนังสือและท่านอ่านหนังสือเหล่านั้นอย่างใจจดใจจ่อ. ท่านเป็นคนที่มีอารมณ์ขันและขี้เล่น ดังที่เห็นได้จากวิธีที่ท่านหลอกล่อแขกที่ท่านเชิญมาในวันอาทิตย์. ท่านมีหนังสือที่สวยเล่มหนึ่งมีปกเป็นหนังและมีคำว่า “คัมภีร์ไบเบิลศักดิ์สิทธิ์” เป็นตัวอักษรสีทองที่หน้าปกและที่สันหนังสือ. ท่านจะเริ่มการสนทนาโดยพูดว่า “เอาละ วันนี้เป็นวันอาทิตย์. คุณจะอ่านข้อคัมภีร์สักสองสามข้อให้เราฟังได้ไหม?”
แขกก็มักจะยินยอมเสมอ แต่เมื่อเขาเปิดหนังสือ ไม่มีสักหน้าหนึ่งที่มีตัวอักษร! แน่นอน บุคคลนั้นย่อมประหลาดใจ. แล้วคุณพ่อก็จะพูดว่า ‘พวกนักเทศน์ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล’ และท่านก็จะหยิบพระคัมภีร์มาเล่มหนึ่งแล้วอ่านเยเนซิศ 2:7. ที่นั่น พรรณนาถึงการสร้างมนุษย์คนแรก พระคัมภีร์บอกว่า “มนุษย์จึงเกิดเป็นจิตวิญญาณมีชีวิตอยู่.”—เยเนซิศ 2:7.
คุณพ่อจะอธิบายว่ามนุษย์ไม่ได้มี จิตวิญญาณแต่เป็น จิตวิญญาณ ทั้งยังอธิบายว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย และเมื่อมนุษย์ตาย เขาก็ตายจริง ๆ ไม่รู้อะไรเลย. (ท่านผู้ประกาศ 9:5, 10; ยะเอศเคล 18:4; โรม 6:23) แม้แต่ก่อนที่ผมจะอ่านได้คล่อง ผมก็จำเยเนซิศ 2:7 ได้. นี่เป็นความทรงจำแรก ๆ ที่ผมมีเกี่ยวกับความปีติยินดีแท้ที่ได้รู้ความจริงต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลและแบ่งปันความจริงเหล่านี้กับผู้อื่น.
เนื่องจากในเวลานั้นเรารับวารสารเดอะว็อชเทาเวอร์ ที่บ้านของเรา ฉะนั้น ทั้งครอบครัวเริ่มรับความยินดีจากอาหารฝ่ายวิญญาณนี้. คุณยายก็อาศัยอยู่กับเราด้วย และเธอเป็นผู้ประกาศข่าวดีคนแรกในครอบครัวของเรา. ในเวลานั้น ไม่มีประชาคมในเมืองคาร์บอนเดล รัฐอิลลินอยส์ที่เราอาศัยอยู่ แต่มีการจัดการประชุมอย่างไม่เป็นทางการ. คุณแม่จะพาพวกเราลูก ๆ ห้าคนไปยังอีกด้านหนึ่งของเมืองที่ซึ่งสตรีสูงอายุบางคนนำการศึกษาว็อชเทาเวอร์. เราเริ่มเข้าส่วนในการงานรับใช้ตามบ้านด้วย.
จากทำงานวิทยุจนกระทั่งถูกจำคุก
ผมแต่งงานในปี 1937 เมื่ออายุเพียง 17 ปี. ผมพยายามทำงานเลี้ยงชีพด้วยการซ่อมวิทยุและสอนทักษะนี้. หลังจากที่ลูกสองคนเกิดมา คือเพ็กกีและแฮงก์ ชีวิตสมรสของผมก็สิ้นสุดลง. การหย่าเป็นความผิดของผม ผมไม่ได้ดำเนินชีวิตแบบคริสเตียน. ความเป็นจริงที่ว่าผมไม่มีโอกาสเลี้ยงดูลูกคนโตสองคนได้สร้างความปวดร้าวใจให้ผมมาตลอดชีวิต.
สงครามโลกครั้งที่สองเกิดขึ้นและทำให้ผมต้องคิดหลายสิ่งหลายอย่าง. กองกำลังต่าง ๆ ทางทหารเสนอโอกาสให้ผมเป็นร้อยโทและสอนวิชาวิทยุให้ทหารที่ถูกเกณฑ์ แต่ความเป็นห่วงของผมถึงสิ่งที่พระยะโฮวาทรงคิดเกี่ยวกับสงครามกระตุ้นให้ผมเริ่มอธิษฐานทุกวัน. การบอกรับวารสารเดอะว็อชเทาเวอร์ ของผมหมดอายุ และลูซีลล์ เฮเวิร์ทได้รับใบแจ้งการหมดอายุนั้นและมาเยี่ยมผม. เพอร์รี เฮเวิร์ท คุณพ่อของลูซีลล์ และครอบครัวใหญ่ของเธอเกือบทุกคนเป็นพยานฯตั้งแต่ช่วงทศวรรษของปี 1930. ลูซีลล์และผมเกิดรักกัน และเราแต่งงานกันในเดือนธันวาคม ปี 1943.
ในปี 1944 ผมรับบัพติสมาและร่วมกับภรรยาของผมในงานรับใช้เต็มเวลาในฐานะไพโอเนียร์. ในไม่ช้า ผมถูกเรียกไปเกณฑ์ทหารแต่ผมปฏิเสธการเข้าเป็นทหาร. ผลก็คือผมถูกตัดสินลงโทษจำคุกเป็นเวลาสามปีในสถานดัดสันดานกลางในเมืองเอ็ลเรโน รัฐโอกลาโฮมา. นับเป็นความปีติยินดีที่ทนทุกข์เพื่อพระยะโฮวา. แต่ละเช้าที่ผมตื่นขึ้นและตระหนักว่าผมอยู่ที่ไหนและเพราะเหตุใด ผมรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งและขอบพระคุณพระยะโฮวา. ภายหลังสงคราม พวกเราผู้ที่มีอายุเกิน 25 ปีเริ่มได้รับการปลดปล่อย. ผมถูกปล่อยตัวในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1946.
งานรับใช้เต็มเวลา
ตอนที่ผมกลับมาสมทบกับลูซีลล์อีกครั้งหนึ่ง เธอเป็นไพโอเนียร์อยู่ในเมืองเล็ก ๆ ชื่อแวกอนเนอร์ รัฐโอกลาโฮมา. เราไม่มีรถยนต์ ดังนั้น เราจึงเดินไปทุกหนทุกแห่งประกาศทั่วทั้งเมือง. ต่อมา เราย้ายไปที่เมืองวีโวกา รัฐโอกลาโฮมา. ไม่นานนัก ผมก็ได้งานที่สถานีวิทยุใกล้ ๆ แห่งหนึ่งและเริ่มงานในด้านการกระจายเสียง. การทำงานวันละหกชั่วโมงและใช้เวลาเป็นไพโอเนียร์ด้วยไม่ใช่ง่าย แต่เราปีติยินดีกับสิทธิพิเศษที่เรามีในการรับใช้พระยะโฮวา. ในที่สุด เราก็ซื้อรถยนต์เก่า ๆ ได้คันหนึ่ง ทันเวลาพอดีสำหรับการประชุมใหญ่ในเมืองลอสแองเจลิสในปี 1947. ที่นั่นเอง เราเริ่มที่จะคิดเกี่ยวกับการสมัครเข้าโรงเรียนกิเลียดว็อชเทาเวอร์ไบเบิลเพื่อรับการฝึกอบรมเป็นมิชชันนารี.
เราตระหนักว่านี่จะเป็นก้าวใหญ่ก้าวหนึ่ง และเราไม่อยากรีบร้อนตัดสินใจออกจากสหรัฐฯ. ผมยังคงเสียใจมากที่เสียลูก ๆ ไป ดังนั้น เราพยายามอีกครั้งหนึ่งในการขออำนาจปกครองบุตร. เนื่องจากวิถีชีวิตแต่เก่าก่อนของผมและประวัติเกี่ยวกับการถูกจำคุก ความพยายามนั้นจึงไม่สำเร็จ. ฉะนั้น เราตกลงใจพยายามที่จะเป็นมิชชันนารี. เราได้รับเชิญให้เข้าร่วมชั้นเรียนที่ 12 ของกิเลียด.
เราสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนในปี 1949 แต่ในตอนแรก เราได้รับมอบหมายให้ไปเยี่ยมประชาคมต่าง ๆ ในรัฐเทนเนสซี. หลังจากที่อยู่ในงานรับใช้เดินทางสามปีในสหรัฐฯเราได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากสำนักงานของนายกสมาคมว็อชเทาเวอร์ ถามว่าเราจะยินดีสอนหนังสือในประเทศเอธิโอเปียนอกเหนือจากงานเทศนาประกาศหรือไม่. ข้อเรียกร้องหนึ่งของรัฐบาลนั้นก็คือมิชชันนารีต้องสอนหนังสือ. เราตกลง และในฤดูร้อนของปี 1952 เราออกเดินทางไปเอธิโอเปีย.
เมื่อเราไปถึงเอธิโอเปีย เราสอนชั้นประถมศึกษาทุกเช้าและสอนชั้นเรียนพระคัมภีร์ฟรีทุกบ่าย. ในไม่ช้า เริ่มมีผู้คนเป็นจำนวนมากเข้ามาศึกษาพระคัมภีร์จนบ่อยครั้งที่เราสอนพระคัมภีร์วันละสามหรือสี่ชั่วโมง. นักศึกษาจำนวนหนึ่งเป็นตำรวจ ส่วนนักศึกษาอื่น ๆ เป็นครูหรือเจ้าหน้าที่ในโรงเรียนมิชชันนารีและโรงเรียนออร์โธดอกซ์ในเอธิโอเปีย. บางครั้ง มีถึง 20 คนหรือกว่านั้นในชั้นเรียนพระคัมภีร์แต่ละชั้น! นักศึกษาหลายคนละทิ้งศาสนาเท็จและเริ่มรับใช้พระยะโฮวา. เราดีใจอย่างเหลือล้น. อีกครั้งหนึ่ง เมื่อผมตื่นขึ้นในแต่ละเช้า ผมขอบพระคุณพระยะโฮวา.
การเป็นบิดามารดาและการเทศนาประกาศภายใต้การสั่งห้าม
ในปี 1954 เรามารู้ว่าเรากำลังจะได้เป็นพ่อเป็นแม่ ดังนั้น เราต้องตัดสินใจว่าจะกลับสหรัฐฯหรือยังคงอยู่ในเอธิโอเปีย. แน่นอน การที่จะอยู่ต่อไปย่อมขึ้นอยู่กับการได้งานฝ่ายโลกของผม. ผมได้งานเป็นวิศวกรการกระจายเสียง ควบคุมสถานีวิทยุแห่งหนึ่งให้จักรพรรดิเฮลี เซแลสซี. ดังนั้นเราจึงอยู่ต่อไป.
ในวันที่ 8 กันยายน 1954 จูดิทลูกสาวของเราก็ถือกำเนิดมา. ผมคิดว่าผมมีความมั่นคงในงานอาชีพเพราะทำงานให้องค์จักรพรรดิ แต่หลังจากนั้นสองปี ผมก็ตกงาน. อย่างไรก็ดี ในเวลาไม่ถึงเดือน ผมได้รับการว่าจ้างโดยกรมตำรวจ—และด้วยเงินเดือนที่สูงกว่า—ให้สอนเด็กหนุ่ม ๆ ชั้นหนึ่งให้ซ่อมเครื่องรับส่งวิทยุ. ในช่วงสามปีถัดไป ฟิลิปและเลสลีลูกชายของเราก็ถือกำเนิดมา.
ในระหว่างนั้น เสรีภาพของเราในการเข้าร่วมในงานประกาศก็เปลี่ยนไป. คริสต์จักรออร์โธดอกซ์ในเอธิโอเปียชักชวนให้รัฐบาลขับไล่มิชชันนารีพยานพระยะโฮวาออกไปให้หมด. ตามคำแนะนำของทางสมาคม ผมเปลี่ยนวีซาของผมจากงานมิชชันนารีเป็นงานฝ่ายโลก. งานมิชชันนารีของเราถูกสั่งห้าม และเราต้องระมัดระวังและสุขุมรอบคอบ. การประชุมประชาคมทั้งหมดยังคงดำเนินต่อไป แต่เราพบกันในกลุ่มการศึกษาเล็ก ๆ.
เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจบ้านหลายหลังของพยานฯที่ต้องสงสัย. อย่างไรก็ตาม โดยที่ทางเจ้าหน้าที่ไม่รู้ ร้อยตำรวจโทนายหนึ่งซึ่งเป็นผู้นมัสการพระยะโฮวาบอกให้เรารู้ทุกครั้งเมื่อมีการกำหนดให้มีการตรวจค้น. ผลก็คือไม่มีสรรพหนังสือที่ถูกริบในสมัยนั้น. เราจัดให้มีการศึกษาวารสารหอสังเกตการณ์ ของเราทุกวันอาทิตย์โดยไปตามร้านอาหารชานเมืองที่ซึ่งมีโต๊ะปิกนิกสำหรับรับประทานอาหารกลางแจ้ง.
ช่วงเวลานี้เอง ในขณะที่ผมสอนวิชาวิทยุให้พวกนักเรียนนายร้อยตำรวจอยู่ ที่นักเรียนคนนั้นซึ่งผมกล่าวถึงตอนต้นขอศึกษาพระคัมภีร์. ผมสันนิษฐานว่าเขามีความบริสุทธิ์ใจ ดังนั้น เราจึงเริ่มศึกษา. หลังจากที่ศึกษาไปได้เพียงสองครั้ง นักศึกษาคนที่สองก็มาพร้อมกับเขา แล้วก็คนที่สาม. ผมเตือนพวกเขาว่าอย่าได้บอกใครว่าพวกเขากำลังเรียนกับผมอยู่ และพวกเขาก็ไม่เคยบอก.
ในปี 1958 การประชุมนานาชาติพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าได้จัดขึ้นที่สนามกีฬาแยงกีและสนามโปโล. ในระหว่างนั้น เพ็กกีและแฮงก์พร้อมด้วยสมาชิกอื่น ๆ อีกหลายคนในครอบครัวใหญ่ของผมได้มาเป็นพยานฯที่ขยันขันแข็ง. ช่างเป็นความชื่นชมยินดีสักเพียงใดที่ผมสามารถเข้าร่วมด้วย! ไม่เพียงแต่ผมมีความสุขที่ได้พบลูกคนโตสองคนและสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวซึ่งจากกันไปนาน แต่ผมยังตื่นเต้นที่ได้เห็นฝูงชนใหญ่กว่าสองแสนห้าหมื่นคนที่ร่วมประชุมในวันสุดท้ายของการประชุมใหญ่ครั้งนั้น!
ในปีถัดมา นายกสมาคม นาทาน เอช. นอรร์มาเยี่ยมเราในเอธิโอเปีย. ท่านมีคำแนะนำที่ดีต่าง ๆ เพื่อให้งานภายใต้การสั่งห้ามดำเนินต่อไปได้ และท่านสนใจในครอบครัวและความเป็นไปฝ่ายวิญญาณของเราด้วย. ผมอธิบายว่าเราสอนลูก ๆ ให้อธิษฐาน. ผมถามว่าเขาอยากฟังจูดิทอธิษฐานไหม. เขาตอบตกลง แล้วเขาก็บอกเธอหลังจากนั้นว่า “ดีมาก จูดิท.” ต่อมาเมื่อถึงเวลารับประทานอาหาร ผมก็ขอให้บราเดอร์นอรร์นำการอธิษฐาน และเมื่อท่านอธิษฐานจบ จูดิทบอกว่า “ดีมาก บราเดอร์นอรร์!”
เลี้ยงดูลูกของเราในสหรัฐฯ
สัญญาของผมกับทางกรมตำรวจสิ้นสุดลงในปี 1959. เราอยากอยู่ต่อไป แต่ทางรัฐบาลไม่ยอมอนุมัติให้มีการเซ็นสัญญาใหม่ใด ๆ ให้ผม. ดังนั้น เราจะไปที่ไหน? ผมพยายามที่จะเข้าไปในประเทศอื่น ๆ ซึ่งมีความต้องการพี่น้องฝ่ายชายมาก แต่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้. น่าเสียดายที่เราต้องกลับไปยังสหรัฐฯ. เมื่อไปถึง เราได้พบกันทั้งครอบครัวซึ่งยังความชื่นชมยินดีมาสู่เรา ลูก ๆ ทั้งห้าคนของผมทำความรู้จักกันและรักกันทันที. พวกเขาสนิทกันตั้งแต่นั้นมา.
เราตั้งรกรากในเมืองวิชิตา รัฐแคนซัส ที่ซึ่งผมได้งานเป็นวิศวกรวิทยุและเป็นนักจัดรายการเพลงทางวิทยุ. ส่วนลูซีลล์ก็ปรับตัวกับงานบ้านต่าง ๆ และลูก ๆ เข้าโรงเรียนซึ่งอยู่ใกล้บ้าน. ผมนำการศึกษาวารสารหอสังเกตการณ์ ประจำครอบครัวทุกคืนวันจันทร์ พยายามทำให้มีชีวิตชีวาและน่าสนใจเสมอ. เราตรวจสอบทุกวันเพื่อดูว่ามีปัญหาใด ๆ ที่โรงเรียนหรือไม่.
ขณะที่ลูก ๆ แต่ละคนร่วมในโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบการของพระเจ้า การฝึกอบรมนี้ช่วยพวกเขาในการศึกษาเล่าเรียนที่โรงเรียนด้วย. เราฝึกอบรมพวกเขาตั้งแต่เป็นทารกในงานรับใช้ตามบ้าน. พวกเขารู้วิธีเสนอสรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลตามบ้าน และพวกเขาไปกับเราในการศึกษาพระคัมภีร์ตามบ้านด้วย.
นอกจากนี้ เรายังพยายามสอนลูก ๆ ถึงสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับชีวิต อธิบายว่าพวกเขาแต่ละคนไม่สามารถมีในสิ่งที่อีกคนหนึ่งมีเสมอไป. เป็นต้นว่า ไม่มีของขวัญอย่างเดียวกันสำหรับทุกคนเสมอไป. เราจะหาเหตุผลกับพวกเขาว่า “ถ้าพี่หรือน้องของเธอได้รับของเล่นชิ้นหนึ่ง แล้วไม่มีสำหรับเธอ เป็นการสมควรไหมที่เธอจะบ่น?” แน่นอน ในโอกาสอื่น ลูกคนอื่นย่อมได้อะไรบางอย่างเพื่อว่าจะไม่มีใครถูกละเลย. เรารักพวกเขาทุกคนเสมอ ไม่เคยเลือกรักคนหนึ่งมากกว่าอีกสองคน.
บางครั้ง เด็กคนอื่น ๆ ได้รับอนุญาตให้ทำสิ่งต่าง ๆ ซึ่งลูกของเราไม่ได้รับอนุญาตให้ทำ. ผมมักได้ยินบ่อย ๆ ว่า “คนนั้นทำได้ ทำไมเราทำไม่ได้?” ผมพยายามอธิบาย แต่บางครั้งคำตอบก็ต้องเป็นอย่างนี้: “ลูกไม่ได้อยู่ในครอบครัวนั้น ลูกเป็นคนหนึ่งในครอบครัวบรัมลีย์. เรามีกฎต่างกัน.”
รับใช้ในเปรู
นับตั้งแต่ที่กลับมาจากเอธิโอเปีย ลูซีลล์และผมปรารถนาจะมีส่วนร่วมในงานมิชชันนารีอีก. ในที่สุด ในปี 1972 โอกาสไปประเทศเปรู ทวีปอเมริกาใต้ก็มาถึง. เราไม่อาจเลือกที่ที่ดีกว่านี้ในการเลี้ยงดูลูก ๆ ของเราในช่วงที่พวกเขาเป็นวัยรุ่น. การคบหาสมาคมกับมิชชันนารี, ไพโอเนียร์พิเศษ, และคนอื่น ๆ ที่มาเปรูเพื่อรับใช้นั้น ช่วยให้พวกเขาเห็นด้วยตนเองว่าคนเหล่านั้นซึ่งแสวงหาผลประโยชน์ของราชอาณาจักรเป็นอันดับแรกมีความปีติยินดีสักเพียงใด. ฟิลิปเรียกการคบหาสมาคมของเขาว่าเป็นความกดดันในทางดีจากเพื่อน.
หลังจากนั้นสักระยะหนึ่ง เพื่อนเก่าบางคนจากแคนซัสรู้ว่าเรากำลังประสบความสำเร็จเพียงไรในงานรับใช้แห่งราชอาณาจักร และพวกเขามาสมทบกับเราในเปรู. ผมจัดบ้านของเราเป็นเหมือนบ้านพักมิชชันนารี. แต่ละคนมีหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเพื่อว่าทุกคนจะมีเวลาในการชื่นชมกับการรับใช้ตามบ้าน. เรามีการพิจารณาข้อคัมภีร์ที่โต๊ะอาหารทุกเช้า. นั่นเป็นเวลาที่มีความสุขสำหรับพวกเราทุกคน. อีกครั้งหนึ่ง เมื่อผมตื่นขึ้นทุกเช้าและตระหนักว่าผมอยู่ที่ไหนและเพราะเหตุใด ผมนึกขอบพระคุณพระยะโฮวาอย่างสุดซึ้งอยู่ในใจ.
ในที่สุด จูดิทแต่งงาน และไม่นานนักเขาและสามีก็กลับไปสหรัฐฯเพราะสามีไม่สามารถได้วีซาเป็นคนเข้าเมืองได้. หลังจากที่รับใช้เป็นไพโอเนียร์พิเศษสามปี ฟิลิปสมัครและได้รับเข้าทำงานรับใช้ในเบเธลที่บรุกลิน นิวยอร์ก. ในที่สุด เลสลีก็กลับสหรัฐฯด้วย. พวกเขาจากไปด้วยความรู้สึกที่ระคนกัน และบ่อยครั้งเขาบอกเราว่าการพาพวกเขาไปเปรูเป็นสิ่งดีที่สุดที่เราเคยทำเพื่อพวกเขา.
ขณะที่เศรษฐกิจในเปรูย่ำแย่ลง เราตระหนักว่าเราก็เช่นกันต้องออกจากประเทศนี้. เมื่อกลับไปที่วิชิตาในปี 1978 เราพบพยานฯกลุ่มหนึ่งซึ่งพูดภาษาสเปน. พวกเขาขอให้เราอยู่และช่วยพวกเขา และเรายินดีทำเช่นนั้น. มีการก่อตั้งประชาคมหนึ่งขึ้น และอย่างรวดเร็วที่ประชาคมนั้นเป็นที่รักของเราเช่นเดียวกับประชาคมต่าง ๆ ที่เราได้รับใช้ก่อนหน้านั้น.
เอกวาดอร์เพรียกหา
แม้จะเป็นโรคปัจจุบันซึ่งทำให้ผมเป็นอัมพาตบางส่วน ผมก็ยังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าลูซีลล์และผมจะสามารถรับใช้ได้อีกในประเทศอื่น. ในปี 1984 ผู้ดูแลเดินทางคนหนึ่งบอกเราถึงความเจริญก้าวหน้าในประเทศเอกวาดอร์และความต้องการผู้ปกครองคริสเตียนที่นั่น. ผมชี้แจงว่าผมทำงานได้เล็กน้อยในงานรับใช้ตามบ้านเพราะขาของผมพิการ แต่เขาทำให้ผมมั่นใจว่าแม้แต่ผู้ปกครองวัย 65 ปีซึ่งเป็นอัมพาตก็เป็นประโยชน์ได้.
หลังจากที่เขาจากไปแล้ว เรานอนไม่หลับทั้งคืน พูดคุยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะไปเอกวาดอร์. ลูซีลล์มีความปรารถนารุ่มร้อนที่จะไปเช่นเดียวกับผม. ดังนั้น เราโฆษณาขายกิจการเล็ก ๆ ของเรา ซึ่งรับกำจัดแมลงและขายไปในเวลาสองสัปดาห์. เราขายบ้านในเวลาเพียงสิบวัน. ฉะนั้น ในวัยชราของเรา เราก็กลับมาสู่ความปีติยินดียิ่งอีกครั้งหนึ่ง ในงานรับใช้เป็นมิชชันนารีในต่างแดน.
เราตั้งรกรากในเมืองควิโต และงานรับใช้ตามบ้านให้ความสุขใจ โดยที่แต่ละวันมีประสบการณ์หรือสิ่งตื่นเต้นอย่างใหม่. แต่แล้ว ในปี 1987 ผมได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ ผมต้องรับการผ่าตัดทันที. เรากลับไปที่วิชิตาเพื่อรับการผ่าตัด ซึ่งประสบผลสำเร็จ. เรากลับไปที่ควิโตได้เพียงสองปี ก็พบว่าเป็นมะเร็งอีก และเราต้องกลับสหรัฐฯเป็นการถาวร. เราตั้งรกรากในรัฐนอร์ทแคโรไลนาที่ซึ่งเราอาศัยอยู่ในทุกวันนี้.
ชีวิตที่มีความหมายและมีค่า
อนาคตเกี่ยวกับร่างกายของผมนั้นไม่แน่นอน. ผมต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อสร้างทวารหนักเทียมในปี 1989. ถึงกระนั้น ผมยังคงสามารถรับใช้ในฐานะผู้ปกครองและนำการศึกษาพระคัมภีร์หลายรายกับผู้ซึ่งมาที่บ้านของผม. ตลอดระยะเวลาหลายปี เราได้ช่วยคนนับร้อยโดยการปลูก, รดน้ำ, หรือเพาะปลูกเมล็ดแห่งความจริง. นั่นเป็นความปีติยินดีที่ไม่มีวันจืดจาง ไม่ว่าจะมีกี่ครั้งกี่หนก็ตาม.
ยิ่งกว่านี้ ผมมีความปีติยินดียิ่งนักที่เห็นว่าลูก ๆ ของผมทุกคนรับใช้พระยะโฮวา. เพ็กกีได้ติดตามสามีของเธอ พอล มอสกีเป็นเวลา 30 ปีในงานรับใช้เดินทางในสหรัฐฯ. ฟิลิปและจูดิทและคู่ชีวิตของเขาเคยทำการรับใช้พิเศษในเบเธลที่บรุกลิน นิวยอร์ก. ส่วนแฮงก์และเลสลีและคู่ชีวิตของเขาเป็นพยานฯที่ขันแข็ง และพี่น้องชายหญิงสี่คนของผมพร้อมด้วยครอบครัวของพวกเขา รวมทั้งญาติ ๆ กว่า 80 คนก็กำลังรับใช้พระยะโฮวาทุกคน. และลูซีลล์เป็นภรรยาคริสเตียนที่เป็นแบบอย่างเสมอมาสำหรับเกือบ 50 ปีแห่งชีวิตสมรสของเรา. ในช่วงปีหลัง ๆ มานี้ เธอไม่ปริปากบ่นที่ต้องทำงานหลายอย่างซึ่งไม่น่าชื่นชมนักในการช่วยผมดูแลร่างกายที่กำลังเสื่อมถอยของผม.
จริงทีเดียว ชีวิตของผมมีความปีติยินดีมาโดยตลอดมีความสุขเกินกว่าที่จะกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้. การรับใช้พระยะโฮวายังความปีติยินดีถึงขนาดว่าเป็นความประสงค์จากใจจริงของผมที่จะนมัสการพระองค์ตลอดไปบนแผ่นดินโลกนี้. ผมจำได้เสมอถึงบทเพลงสรรเสริญ 59:16 ซึ่งกล่าวว่า “ฝ่ายข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญฤทธิ์เดชของพระองค์; เป็นแน่, พอเวลารุ่งเช้าข้าพเจ้าจะเปล่งเสียงร้องสรรเสริญพระกรุณาคุณของพระองค์: เพราะพระองค์เป็นป้อมอันสูงของข้าพเจ้า. เป็นที่พึ่งพำนักในเวลาทุกข์ยากของข้าพเจ้า.”
[รูปภาพหน้า 23]
จอร์จ บรัมลีย์กับจักรพรรดิเฮลี เซแลสซีของเอธิโอเปีย
[รูปภาพหน้า 25]
จอร์จ บรัมลีย์และภรรยาของเขา ลูซีลล์