วิถีชีวิตที่มีจุดมุ่งหมาย
เล่าโดย เมลวา เอ. วีแลนด์
ในเดือนมีนาคม 1940 ไม่กี่เดือนหลังจากที่ดิฉันรับบัพติสมาฟิลลิสน้องสาวของดิฉันก็มาหา และถามว่า“ทำไมพี่ไม่เป็นไพโอเนียร์?” “ไพโอเนียร์หรือ?” ดิฉันถาม. “น้องหมายถึงประกาศเต็มเวลาเกือบทุกวันนะหรือ?”
‘ฉันจะเป็นไพโอเนียร์ได้อย่างไร’ ดิฉันคิด ‘ความรู้เกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลมีจำกัด แถมเงินฝากในธนาคารก็ยิ่งมีจำกัดเข้าไปใหญ่?’ ถึงกระนั้น คำถามของฟิลลิสทำให้ดิฉันเริ่มคิด. ดิฉันอธิษฐานมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย.
ในที่สุด ดิฉันหาเหตุผลว่า ‘ทำไมฉันจะวางใจพระเจ้าไม่ได้ในเมื่อพระองค์ทรงสัญญาว่าจะดูแลเราหากเราแสวงหาราชอาณาจักรของพระองค์ก่อน?’ (มัดธาย 6:33) ดังนั้น ในเดือนมิถุนายน 1940 ดิฉันจึงแจ้งล่วงหน้าว่าจะลาออกจากงานเย็บเสื้อ. จากนั้น ดิฉันก็เขียนจดหมายถึงสำนักงานสาขาของสมาคมว็อชเทาเวอร์ในออสเตรเลีย ของานมอบหมายสำหรับไพโอเนียร์.
งานมอบหมายตลอดชีพ
สองสามสัปดาห์ต่อมา ดิฉันได้รับคำตอบ แจ้งว่าดิฉันจะได้รับงานมอบหมายหลังจากเข้าร่วมการประชุมใหญ่ ซึ่งจะจัดขึ้นในบริเวณสำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวาในสแตรทฟีลด์ ชานเมืองซิดนีย์ เมืองที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย. เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากการประชุมใหญ่ ดิฉันมารายงานตัวที่สำนักงาน เพื่อรับงานมอบหมาย.
คนที่อยู่ในสำนักงานชี้แจงว่า “เรามีงานมากที่แผนกซักรีดตอนนี้. คุณจะอยู่ช่วยสักสองสามสัปดาห์ได้ไหม?” ตอนนั้นเป็นเดือนสิงหาคม 1940—และตอนนี้ดิฉันก็ยังคงทำงานในแผนกซักรีดอยู่! เวลานั้นมีเพียง 35 คนในครอบครัวที่สำนักงานใหญ่ เวลานี้มีถึง 276 คน.
แต่คุณอาจนึกสงสัยว่า เหตุใดดิฉันจึงถือว่าการทำงานในแผนกซักรีดเป็น “วิถีชีวิตที่มีจุดมุ่งหมาย” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากนี่เป็นงานที่ดิฉันทำมา 50 กว่าปีแล้วตอนนี้. ก่อนที่จะอธิบาย ขอดิฉันเล่าถึงอาชีพการงานของดิฉันในช่วงแรก ๆ.
กีฬากลายเป็นวิถีชีวิต
ดิฉันเกิดในเมลเบิร์นเมื่อวันที่ 1 มกราคม 1914 เป็นลูกคนแรกในจำนวนห้าคน. เรามีคุณพ่อคุณแม่ที่เปี่ยมด้วยความรัก ซึ่งดำเนินชีวิตตามหลักการอันสูงส่ง และตีสอนเมื่อจำเป็น. เรายังได้รับการเลี้ยงดูชนิดที่ไม่ค่อยจะมีกฎเกณฑ์แน่นอนทางศาสนา เพราะคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ไปโบสถ์เป็นประจำ. ถึงกระนั้น ท่านยืนกรานว่า พวกเราลูก ๆ ต้องเรียนในโรงเรียนรวีวารศึกษาของคริสตจักรแห่งอังกฤษ.
ตอนที่ดิฉันออกโรงเรียนในปี 1928 และเริ่มทำงานเป็นช่างเย็บเสื้อ ดิฉันตัดสินใจใช้เวลาว่างส่วนใหญ่เล่นกีฬา ด้วยเชื่อว่าการทำเช่นนี้อาจช่วยให้ดิฉันเอาชนะความขี้อายได้. ดิฉันเข้าร่วมสโมสรเทนนิส และเล่นตลอดปี. ในช่วงฤดูหนาว ดิฉันก็เล่นบาสเกตบอลและเบสบอลด้วย และในช่วงฤดูร้อนดิฉันเล่นในทีมคริกเก็ตหญิง. คริกเก็ตกลายเป็นสิ่งที่ดิฉันชื่นชอบจริง ๆ และดิฉันเพียรพยายามฝึกหัดให้ชำนาญในการขว้างลูกเร็ว เพื่อจะมีคุณสมบัติลงแข่งระหว่างรัฐ.
จุดมุ่งหมายที่แตกต่างไปจากกีฬา
ตอนเป็นเด็ก ดิฉันไม่สบายใจเรื่องคำสอนที่ว่า พระเจ้าแห่งความรักมีสถานที่ที่เรียกว่านรก ซึ่งคนทำชั่วจะถูกทรมานตลอดไป. นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลเลยสำหรับดิฉัน. ดังนั้น ลองคิดดูซิว่า ดิฉันดีใจสักเพียงไรเมื่อได้เรียนรู้ความหมายที่แท้จริงของ “นรก” อย่างไม่คาดคิดจากคัมภีร์ไบเบิล. เรื่องเป็นอย่างนี้:
ฟิลลิสน้องสาว ซึ่งอ่อนกว่าดิฉันห้าปี ชอบเล่นกีฬาด้วยเช่นกัน และเราอยู่ในทีมคริกเก็ตหญิงทีมเดียวกัน. ในปี 1936 เพื่อนร่วมทีมคนหนึ่งแนะนำฟิลลิสให้รู้จักกับชายหนุ่มชื่อจิม ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเคร่งศาสนามาก. ไม่ช้า จิมก็เริ่มพูดกับฟิลลิสเรื่องคำสอนในคัมภีร์ไบเบิล. เธอเกิดความสนใจ. เธอจะบอกดิฉันว่า “มันสมเหตุสมผลและมีหลักมีเกณฑ์เหลือเกิน.”
เวลานั้น ฟิลลิสและดิฉันอยู่ห้องเดียวกันที่บ้าน และเธอพยายามจะทำให้ดิฉันสนใจสิ่งที่จิมบอกเธอเกี่ยวกับราชอาณาจักรของพระเจ้า. เธอบอกดิฉันอย่างตื่นเต้นว่า “ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะทำสิ่งที่รัฐบาลของมนุษย์ทำไม่ได้.” อย่างไรก็ตาม ดิฉันโต้แย้งเธอ โดยบอกว่า นี่ก็เป็นอีกศาสนาหนึ่งเท่านั้นที่จะทำให้เราสับสน และไม่มีใครรู้จริง ๆ หรอกเกี่ยวกับอนาคต. แต่ฟิลลิสไม่ละความพยายาม และวางสรรพหนังสือไว้ทั่วห้อง หวังว่าดิฉันอาจจะอ่าน.
ดิฉันอยากรู้ว่า เหตุใดฟิลลิสจึงกระตือรือร้นนักเกี่ยวกับความเชื่อใหม่นี้ ดังนั้น วันหนึ่งดิฉันจึงหยิบหนังสือเล่มเล็กขึ้นมาเล่มหนึ่ง ซึ่งมีชื่อที่น่าสนใจว่าโลกหน้า. เมื่อดิฉันพลิกหน้าต่าง ๆ และเห็นคำว่า “นรก” ดิฉัน ‘หูผึ่ง.’ สิ่งที่ทำให้ดิฉันประหลาดใจก็คือ ดิฉันได้เรียนรู้ว่า คำ “นรก” ในคัมภีร์ไบเบิลที่แท้แล้วหมายถึงหลุมฝังศพทั่วไปของมนุษยชาติ และทั้งคนดีและคนเลวไปที่นั่น. ดิฉันยังเรียนรู้ว่า นรกไม่ใช่สถานที่ทรมาน คนตายแล้วก็ไม่รู้อะไรและไม่มีความรู้สึก.—ท่านผู้ประกาศ 9:5, 10; บทเพลงสรรเสริญ 146:3, 4.
สิ่งนี้ฟังดูมีเหตุผลสำหรับดิฉัน โดยเฉพาะเมื่อหนังสือเล่มเล็กนั้นอธิบายว่า พระเจ้าองค์ทรงฤทธิ์และเปี่ยมด้วยความรักทรงสัญญาว่าจะนำคนตายกลับคืนมาด้วยการอัศจรรย์ที่เรียกว่าการปลุกให้เป็นขึ้นจากตาย. (โยฮัน 5:28, 29) ตอนนี้ ดิฉันยังอยากค้นคว้ามากขึ้นด้วยเกี่ยวกับสิ่งที่จิมบอกฟิลลิส. ดิฉันพบพระคัมภีร์ฉบับคิง เจมส์ เล่มเล็ก ๆ ที่คุณพ่อให้ดิฉันตอนเป็นเด็ก และเปิดหาข้อคัมภีร์ที่ยกมาลงในหนังสือเล่มเล็กนั้น ซึ่งยืนยันสิ่งที่กล่าวเกี่ยวกับนรกและสภาพของคนตาย.
อีกสิ่งหนึ่งที่ยังความประหลาดใจจนตื่นตะลึงให้แก่ดิฉันก็คือการที่ได้ทราบว่า พระเจ้ามีพระนามของพระองค์เอง คือยะโฮวา. (บทเพลงสรรเสริญ 83:18) ดิฉันยังได้รู้อีกด้วยว่า พระเจ้าทรงมีจุดมุ่งหมายหรือเหตุผลสำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ทำหรือที่พระองค์ยอมให้เกิดขึ้น. สิ่งนี้ทำให้ดิฉันถามตัวเองว่า ‘จริง ๆ แล้ว อะไรคือจุดมุ่งหมายของดิฉัน ในชีวิต?’ ตั้งแต่นั้นมา ดิฉันเริ่มสงสัยว่าจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองอย่างแท้จริงหรือไม่ที่เอาจริงเอาจังทางกีฬา—จนแทบจะไม่สนใจสิ่งอื่นเลย.
ลงมือปฏิบัติตามที่ตั้งใจ
จิมและฟิลลิสไม่รู้เลยว่า ทัศนะที่ดิฉันมีต่อชีวิตได้เปลี่ยนไปอย่างไร แต่เขาทั้งสองทราบเมื่อครอบครัวของเราได้รับเชิญไปยังงานเลี้ยงของเพื่อน. สมัยนั้น ในงานเลี้ยงเช่นนั้นทุกคนที่ไปในงานจะยืนขึ้น และจะมีคนหนึ่งเสนอจะดื่มถวายพระพรแด่กษัตริย์แห่งอังกฤษ แล้วทุกคนจะยกแก้วของตนขึ้นดื่ม. อย่างไรก็ตาม ดิฉันตัดสินใจที่จะยังคงนั่งอยู่เช่นเดียวกับจิมและฟิลลิส. เขาทั้งสองไม่อาจเชื่อสายตาตนเองเมื่อเห็นดิฉันยังคงนั่งอยู่! แน่นอน เราไม่มีเจตนาที่จะไม่เคารพ แต่ในฐานะคริสเตียน เรารู้สึกว่า เราควรวางตัวเป็นกลางและไม่เข้าส่วนในการฉลองที่เกี่ยวข้องกับลัทธิชาตินิยมเช่นนั้น.—โยฮัน 17:16.
ถึงกระนั้น คุณพ่อคุณแม่และคนอื่น ๆ ในครอบครัวตกตะลึง. พวกเขากล่าวว่า เราไม่จงรักภักดี หรือไม่ก็เสียสติ—หรือทั้งสองอย่าง! หลังจากนั้น เมื่อฟิลลิสและดิฉันไปร่วมในพิธีมอบรางวัลประจำปีแก่ทีมคริกเก็ตหญิง สิ่งที่คล้ายกันก็เกิดขึ้นระหว่างพิธีซึ่งแสดงถึงลัทธิชาตินิยม. ผลก็คือเราทั้งสองลาออกจากทีม. การทำเช่นนี้ไม่ยากอย่างที่ดิฉันคิด เนื่องจากดิฉันได้มาตระหนักว่า ดิฉันควรสวามิภักดิ์และจงรักภักดีต่อพระเยซูคริสต์ กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าทางภาคสวรรค์.
ตอนนี้ฟิลลิสชี้ให้เห็นว่า ดิฉันจำต้องเข้าร่วมการประชุมของพยานพระยะโฮวาเป็นประจำ เพื่อเสริมสร้างความเชื่อโดยมีความรู้คัมภีร์ไบเบิลมากขึ้น. เวลานั้นมีเพียงประชาคมเดียวในกรุงเมลเบิร์น ดังนั้น ดิฉันจึงเริ่มเข้าร่วมการประชุมที่นั่นทุกบ่ายวันอาทิตย์. ไม่ช้าดิฉันก็มั่นใจว่า นี่คือองค์การที่แท้จริงของพระเจ้าทางแผ่นดินโลก.
ไม่นานดิฉันก็ได้รับเชิญให้ร่วมในกิจการงานประกาศตามบ้านของประชาคม. ตอนแรกดิฉันรู้สึกลังเล แต่เช้าวันอาทิตย์วันหนึ่งดิฉันตัดสินใจตามไปด้วย เพียงเพื่อดูว่าทำกันอย่างไร. ดิฉันดีใจเมื่อถูกมอบหมายให้ไปกับพยานฯคนหนึ่งที่มีประสบการณ์ ซึ่งพูดด้วยความเชื่อมั่นที่บ้านแรก และมีการตอบรับเป็นอย่างดีจากเจ้าของบ้าน. ดิฉันรำพึงกับตนเองว่า ‘ก็ไม่ยากเท่าไร แต่ฉันต้องฝึกมาก ๆ ก่อนที่จะทำได้ดีอย่างนั้น.’ ดังนั้นลองคิดดูซิว่า ดิฉันจะตกตะลึงเพียงใดเมื่อพยานฯคนนั้นบอกดิฉันหลังจากบ้านแรกว่า “ทีนี้คุณก็ไปเองได้.”
“ไปเอง?” ดิฉันถามด้วยความตกตะลึง! “อย่าล้อเล่นน่ะ! ดิฉันจะพูดอย่างไรถ้ามีคนถามและดิฉันไม่รู้คำตอบ?” แต่คู่ของดิฉันยังคงยืนกรานเช่นเดิม. ดังนั้น ด้วยความกลัวจนตัวสั่น ดิฉันจึงไปเองขณะที่เธอให้คำพยานต่อไปกับผู้คนทางอีกฟากหนึ่งของถนน. อย่างไรก็ตาม ดิฉันรอดชีวิตมาได้ในเช้าวันแรกนั้น.
จากนั้นดิฉันก็เริ่มเข้าร่วมในงานประกาศทุกเช้าวันอาทิตย์. เมื่อไปตามบ้านและใครมีคำถามซึ่งดิฉันตอบไม่ได้ ดิฉันจะบอกว่า “ดิฉันจะไปค้นดูและจะกลับมาหาคุณ.” น่าดีใจ พระยะโฮวาทรงให้กำลังและความกล้าแก่ดิฉันเรื่อยมาเพื่อดำเนินต่อ ๆ ไปในวิถีชีวิตใหม่ของดิฉันซึ่งมีจุดมุ่งหมาย. ดิฉันอุทิศชีวิตแด่พระองค์ และในเดือนตุลาคม 1939 ดิฉันรับบัพติสมาที่สระว่ายน้ำของกรุงเมลเบิร์น. ไม่นานหลังจากนั้น ฟิลลิสซึ่งเวลานั้นแต่งงานกับจิมแล้วถามว่า เหตุใดดิฉันจึงไม่เริ่มเป็นไพโอเนียร์.
งานรับใช้ที่สาขา
ในเดือนมกราคม 1941 ไม่นานหลังจากที่ดิฉันเริ่มทำงานที่เบเธล ซึ่งเป็นชื่อที่เราเรียกสำนักงานสาขา ก็มีการสั่งห้ามงานของพยานพระยะโฮวาในออสเตรเลีย. จากนั้น ทหารก็เข้ายึดบ้านเบเธลของเราในสแตรทฟีลด์ และดิฉันถูกส่งไปที่ฟาร์มของสมาคมฯในเมืองอิงเกิลเบิร์น ซึ่งห่างจากตัวเมืองประมาณ 48 กิโลเมตร. ในเดือนมิถุนายน 1943 ศาลยกฟ้องสมาคมว็อชเทาเวอร์ และยกเลิกการสั่งห้าม. ก่อนปีนั้นจะสิ้นสุดลง พวกเรา 25 คนได้รับเชิญให้กลับไปที่เบเธลสแตรทฟีลด์. ที่นั่น ดิฉันยังคงทำงานในแผนกซักรีดต่อไป และมีส่วนช่วยงานอื่น ๆ ภายในบ้าน.
ทศวรรษถัดมาดูเหมือนว่าผ่านไปอย่างรวดเร็ว. ครั้นแล้วในปี 1956 ดิฉันแต่งงานกับเท็ด วีแลนด์ เพื่อนร่วมงานในเบเธล. เท็ดเป็นคนใจเย็นและมีน้ำอดน้ำทนมาก และเราดีใจที่เราได้รับอนุมัติให้อยู่ต่อไปในเบเธลฐานะสามีภรรยา. เราทั้งสองทะนุถนอมวิถีชีวิตที่มีจุดมุ่งหมายของเรา ดีใจที่มีสิทธิพิเศษรับใช้ที่สาขาออสเตรเลีย. แน่นอน นอกเหนือจากงานของเราที่เบเธล เรายินดีที่ได้ทำงานร่วมกันเพื่อช่วยผู้อื่นให้เข้ามาเป็นสาวกของพระคริสต์. เพื่อเป็นตัวอย่าง คุณจะอ่านเรื่องราวของครอบครัววีกส์ได้ในวารสารตื่นเถิด! ฉบับ 8 พฤศจิกายน 1993.
การขยายตัวอย่างสม่ำเสมอของงานประกาศข่าวราชอาณาจักรทำให้มีความต้องการเพียง 10 หรือ 12 คนเพิ่มเข้ามาในคณะผู้ทำงานของเราในช่วง 30 ปีแรกของดิฉันที่เบเธล. แต่สถานการณ์เปลี่ยนอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษปี 1970 เมื่อเราเริ่มพิมพ์วารสารหอสังเกตการณ์ และตื่นเถิด! ที่นี่. การก่อสร้างโรงพิมพ์ใหม่เริ่มขึ้นในเดือนมกราคม 1972. ไม่ช้า แท่นพิมพ์หนัก 40 ตันจากญี่ปุ่นก็มาถึง และมาถึงปี 1973 เราพิมพ์วารสารเกือบ 700,000 เล่มต่อเดือน. ตอนนี้ ครอบครัวเบเธลของเราเริ่มขยายใหญ่ขึ้นจริง ๆ.
ทศวรรษปี 1970 ยังเป็นเวลาแห่งความโศกเศร้าสำหรับดิฉันเป็นส่วนตัวอีกด้วย. อย่างแรก เท็ด สามีผู้เป็นที่รักของดิฉัน เสียชีวิตในปี 1975 ตอนอายุ 80 ปี. จากนั้นไม่ถึงปี คุณพ่อผู้ชราภาพก็ล่วงลับไปอีกคน. ดิฉันได้รับการปลอบประโลมมากจากพระยะโฮวาและคัมภีร์ไบเบิลพระคำของพระองค์ และจากพี่น้องชายหญิงฝ่ายวิญญาณ. นอกจากนี้ที่ดิฉันวุ่นอยู่กับกิจการงานอันมีจุดมุ่งหมายที่เบเธลยังช่วยได้มากในช่วงเวลาที่โศกเศร้ามากในชีวิตของดิฉัน.
กระนั้น ชีวิตยังคงดำเนินต่อไป และดิฉันเริ่มประสบความพอใจและพระพรอีกครั้งหนึ่งฐานะแม่ม่ายในตอนนั้น. ปี 1978 ดิฉันเข้าร่วมการประชุมภาคในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และหลังจากนั้นก็เยี่ยมชมสำนักงานกลางของสมาคมว็อชเทาเวอร์ในบรุกลิน นิวยอร์ก. ที่ได้เห็นพี่น้องชายหญิงนับร้อยทำงานอย่างมีความสุขที่เบเธลบรุกลินยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับดิฉันต่อไปจนกระทั่งวันนี้.
เมื่อทศวรรษปี 1970 สิ้นสุดลง เราทราบว่ากำลังมีการเตรียมการขยายกลุ่มอาคารเบเธลออสเตรเลียอีก. อย่างไรก็ตาม การขยายไม่ได้มีขึ้นในสแตรทฟีลด์ ซึ่งแทบจะไม่มีที่ว่างเหลืออีกแล้ว. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น จะมีการสร้างกลุ่มอาคารใหม่ซึ่งใหญ่กว่ามากบนที่ดินของเราในอิงเกิลเบิร์น ที่ซึ่งดิฉันเคยทำงานในช่วงถูกสั่งห้ามตอนต้นทศวรรษปี 1940.
ดำเนินต่อไปในวิถีชีวิตที่มีจุดมุ่งหมาย
ช่างตื่นเต้นสักเพียงไรในเดือนมกราคม 1982 เมื่อเราย้ายไปยังอาคารใหม่ของเรา! จริงอยู่ ตอนแรกมีความอาลัยอยู่บ้างที่ต้องจากสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย แต่ไม่ช้าเราก็ตื่นเต้นกับบ้านใหม่ของเราซึ่งมีห้องนอนที่สวยงาม 73 ห้อง. แทนที่จะมองออกไปเห็นกำแพงอิฐและถนนชานเมือง เวลานี้เราเห็นทุ่งหญ้าและต้นไม้เขียวขจี, เห็นวัวเล็มหญ้า, และเห็นความงดงามยามดวงอาทิตย์ขึ้นและตก ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่ให้ความเพลิดเพลินยิ่ง.
วันที่ 9 มีนาคม 1983 เรามีความปีติยินดีที่ได้อุทิศกลุ่มอาคารใหม่ท่ามกลางแสงแดดในฤดูใบไม้ร่วงอันงดงาม. ลอยด์ แบร์รีจากคณะกรรมการปกครองแห่งพยานพระยะโฮวาให้คำบรรยายการอุทิศอย่างซาบซึ้งใจ. โดยส่วนตัวแล้ว ดิฉันหยั่งรู้ค่าที่เขาและภรรยามาในงานอุทิศ เนื่องจากดิฉันได้ทำงานกับเขาทั้งสองที่เบเธลสแตรทฟีลด์เมื่อเราต่างยังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่.
การขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ ของกิจการงานประกาศข่าวเรื่องราชอาณาจักรทำให้ต้องขยายอาคารสำนักงานของเราที่อิงเกิลเบิร์นอีก. ในปี 1987 มีการขยายสำนักงาน. จากนั้นในวันที่ 25 พฤศจิกายน 1989 มีการอุทิศส่วนต่อเติมที่เป็นอาคารที่พักอาศัยใหม่ห้าชั้นและโรงพิมพ์ใหม่สามชั้น. ช่างเป็นการเติบใหญ่อะไรเช่นนี้—จากผู้เผยแพร่ไม่ถึง 4,000 คนในออสเตรเลียตอนที่ดิฉันเริ่มงานเผยแพร่ เป็นประมาณ 59,000 คน!
เมื่อเร็ว ๆ นี้ สาขาออสเตรเลียได้เป็นหนึ่งในสำนักงานวิศวกรรมส่วนภูมิภาคสามแห่งของสมาคมฯนอกเหนือจากญี่ปุ่นและเยอรมนี. ทั้งนี้ทำให้ต้องขยายกลุ่มอาคารในเบเธลอีก. เวลานี้ อาคารสำนักงานสามชั้นอีกอาคารหนึ่งเสร็จสมบูรณ์แล้ว และงานก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยห้าชั้นก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งอาคารนี้จะมีห้องอีก 80 ห้องเพื่อรองรับครอบครัวที่กำลังเติบใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ.
ในแผนกซักรีด เรามีผู้ร่วมงานกลุ่มใหญ่เพื่อจัดการกับปริมาณงาน แต่ดิฉันมักหวนระลึกถึงวันนั้นในเดือนสิงหาคม 1940 ตอนที่ดิฉันได้รับเชิญให้ช่วยในแผนกนี้สองสัปดาห์. ดิฉันรู้สึกขอบคุณที่สองสัปดาห์นั้นได้ยืดออกไปเป็น 50 กว่าปีและขอบคุณที่พระเจ้ายะโฮวาทรงชี้นำให้ดิฉันก้าวเดินในวิถีชีวิตที่มีจุดมุ่งหมาย.
[รูปภาพหน้า 21]
ตอนดิฉันอายุ 25 ปี
[รูปภาพหน้า 23]
วันแต่งงานของเราในปี 1956
[รูปภาพหน้า 24]
ปี 1938 น้องสาวและดิฉันหมกมุ่นในกีฬาอย่างจริงจัง แต่ชีวิตของดิฉันเวลานี้บังเกิดผลมากกว่านัก