สืบหาอุทยาน
เล่าโดย ปาสคาล ซตีซี
ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว และถนนสายต่าง ๆ ในเมืองเบซีเยทางใต้ของฝรั่งเศสเงียบสงัด. ผมกับเพื่อนเห็นฝาผนังร้านขายหนังสือทางศาสนาร้านหนึ่งเพิ่งทาสีใหม่ ๆ เลยเขียนคำพูดของนิเชนักปรัชญาชาวเยอรมันลงไปด้วยตัวหนังสือหวัด ๆ สีดำตัวเบ้อเริ่ม ข้อความว่า ‘พระเจ้าตายแล้ว. มนุษย์ชั้นสูงจงเจริญยั่งยืนนาน!’ แต่อะไรกระตุ้นให้ผมทำเช่นนี้?
ผมเกิดในฝรั่งเศสปี 1951 ในครอบครัวเชื้อสายอิตาลีที่นับถือคาทอลิก. ตอนผมเป็นเด็ก เราจะไปพักร้อนทางใต้ของอิตาลี. ที่นั่น แต่ละหมู่บ้านมีรูปปั้นพระแม่มาเรีย. ผมกับคุณตาเดินตามขบวนแห่ยาวเหยียดซึ่งแห่รูปปั้นมหึมาที่แต่งองค์เรียบร้อยไปตามภูเขา—แต่ผมไม่มีความเชื่อศรัทธาเลย. ผมจบการศึกษาขั้นพื้นฐานจากโรงเรียนสอนศาสนาที่ดำเนินงานโดยพวกเยสุอิต. อย่างไรก็ดี ผมนึกไม่ออกว่าได้ยินเรื่องใดที่เสริมสร้างความเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง.
ผมเริ่มใคร่ครวญเรื่องจุดมุ่งหมายของชีวิตตอนที่ผมสมัครเข้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในมองต์เปอลีเยเพื่อศึกษาวิชาแพทย์. คุณพ่อของผมได้รับบาดเจ็บระหว่างสงครามและมีหมอมาดูอาการที่เตียงอยู่เสมอ. ไม่ดีกว่าหรือที่จะยุติสงคราม แทนที่จะใช้เวลาและความพยายามมากมายเหลือเกินเพื่อรักษาผู้คนที่บาดเจ็บจากสงคราม? กระนั้น สงครามเวียดนามกำลังดุเดือดเข้มข้น. เพื่อเป็นตัวอย่าง สำหรับผมแล้ววิธีที่มีเหตุมีผลอย่างเดียวเท่านั้นที่จะจัดการกับมะเร็งปอดก็คือ ขจัดสาเหตุมูลฐานอันได้แก่ยาสูบ. และจะว่าอย่างไรกับความเจ็บไข้ได้ป่วยอันเนื่องมาจากทุโภชนาการในประเทศกำลังพัฒนา และความเจ็บป่วยที่เป็นผลจากการกินมากเกินไปในประเทศมั่งคั่ง? ไม่ดีกว่าหรือถ้าจะขจัดสาเหตุแทนที่จะพยายามเยียวยาแก้ไขผลอันน่าเศร้าสลดนั้น? ทำไมจึงมีความทุกข์มากมายบนแผ่นดินโลก? ผมรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดพลาดอย่างร้ายแรงในสังคมที่กำลังทำลายตัวเองนี้ และผมถือว่ารัฐบาลต่าง ๆ ต้องรับผิดชอบ.
หนังสือโปรดของผมเขียนโดยผู้นิยมลัทธิอนาธิปไตย และผมจะลอกประโยคต่าง ๆ ลงไปบนกำแพง. ทีละเล็กทีละน้อย ผมก็กลายเป็นผู้นิยมลัทธิอนาธิปไตยด้วย อยู่โดยไม่มีความเชื่อทางศาสนาหรือหลักศีลธรรม เป็นผู้ที่ไม่ต้องการพระเจ้าหรือนายคนใด. สำหรับผมแล้ว พระเจ้าและศาสนาเป็นสิ่งที่คนรวยและคนมีอำนาจประดิษฐ์คิดค้นขึ้นเพื่อพวกเขาจะได้ครอบงำและเอาเปรียบเรา. ดูเหมือนคนพวกนั้นจะพูดว่า ‘เจ้าจงทำงานหนักให้พวกข้าขณะอยู่บนแผ่นดินโลก แล้วเจ้าจะได้บำเหน็จอันยิ่งใหญ่ในอุทยานบนสวรรค์.’ แต่หมดยุคพระเจ้าแล้ว. ผู้คนจำเป็นต้องรู้. ข้อความตามกำแพงเป็นวิธีหนึ่งที่จะบอกพวกเขา.
ผลก็คือ ผมลดความสำคัญของการเรียนลงไป. ในระหว่างนั้น ผมได้สมัครเข้าเรียนภูมิศาสตร์และนิเวศวิทยาในอีกมหาวิทยาลัยหนึ่งของมองต์เปอลีเย ที่ซึ่งแผ่ซ่านด้วยบรรยากาศแห่งการขืนอำนาจ. ยิ่งผมศึกษานิเวศวิทยาผมก็ยิ่งคับข้องใจที่ได้เห็นการทำให้ดาวเคราะห์อันสวยงามของเราเกิดมลพิษ.
ทุกปีในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน ผมจะท่องไปเรื่อย ๆ หลายพันกิโลเมตรทั่วยุโรปโดยอาศัยรถโบก. ขณะเดินทางและพูดคุยกับคนขับรถนับร้อย ๆ คน ผมได้เห็นด้วยตาตัวเองถึงความชั่วร้ายและความเสื่อมโทรมที่ก่อความทุกข์แก่สังคมมนุษย์. ครั้งหนึ่ง ขณะกำลังสืบหาอุทยาน ผมเดินทางไปตามชายหาดตระการตาบางแห่งบนเกาะครีตอันสวยงาม และพบว่าปกคลุมไปด้วยคราบน้ำมัน. ผมรู้สึกปวดร้าวใจ. ยังมีอุทยานสักซอกหนึ่งหลงเหลืออยู่ ณ ที่ใด ๆ ไหมบนแผ่นดินโลกนี้?
กลับสู่ชนบท
ในฝรั่งเศส นักนิเวศวิทยากำลังรณรงค์เรื่องการกลับไปยังชนบทเพื่อแก้พิบัติภัยของสังคม. ผมต้องการทำงานด้วยมือของตัวเอง. ดังนั้น ผมจึงซื้อบ้านเก่า ๆ หลังหนึ่งซึ่งก่อด้วยหินอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ เชิงเขาเซวองเนทางภาคใต้ของฝรั่งเศส. ผมเขียนที่ประตูว่า “อุทยานเดี๋ยวนี้” ซึ่งเป็นคำขวัญของพวกฮิปปี้อเมริกัน. เด็กสาวเยอรมันคนหนึ่งซึ่งเข้ามาเที่ยวแถวนี้ได้กลายมาเป็นเพื่อนหญิงของผม. ไม่มีทางที่ผมจะจดทะเบียนสมรสต่อหน้านายกเทศมนตรี ซึ่งเป็นตัวแทนรัฐบาล. แล้วในโบสถ์ล่ะ? เมินเสียเถอะ!
ส่วนใหญ่เราเดินเท้าเปล่า และผมเองก็ไว้ผมยาวและหนวดเครารุงรัง. ผมหลงใหลกับการปลูกพืชผักผลไม้. ในฤดูร้อน ท้องฟ้าเป็นสีคราม และเรไรก็ส่งเสียงระงม. สุมทุมพุ่มไม้ออกดอกหอมอบอวล และผลไม้แถบเมดิเตอร์เรเนียนที่เราปลูกไว้—องุ่นและมะเดื่อ—เนื้อเต่งน่ารับประทานจริง ๆ! ดูเหมือนว่าเราได้พบมุมเหมาะของเราในอุทยานแล้ว.
เกิดความเชื่อในพระเจ้า
ที่มหาวิทยาลัย ผมศึกษาวิชาชีววิทยาเกี่ยวกับเซลล์, วิทยาเอมบริโอ (วิชาว่าด้วยตัวอ่อน), และกายวิภาคศาสตร์ และผมรู้สึกประทับใจอย่างลึกซึ้งในความซับซ้อนและความคล้องประสานของกลไกเหล่านี้ทั้งหมด. ตอนนี้ผมสามารถพินิจพิจารณาและสังเกตสิ่งทรงสร้างด้วยตัวของผมเองทุกวัน ความสวยงามและศักยภาพของมันทำให้ผมเต็มไปด้วยความอัศจรรย์ใจ. หนังสือแห่งสิ่งทรงสร้างนี้บอกผมทีละเล็กทีละน้อยวันแล้ววันเล่า. วันหนึ่ง ระหว่างเดินเล่นอยู่บนเนินเขาเป็นเวลานาน และหลังจากคิดใคร่ครวญอย่างหนักเรื่องชีวิต ผมก็ลงความเห็นว่าต้องมีพระผู้สร้าง. ผมตกลงปลงใจเชื่อในพระเจ้า. ก่อนหน้านี้ ผมรู้สึกว่าหัวใจว่างเปล่า เดียวดายน่ากลัดกลุ้ม. วันที่ผมเริ่มมีความเชื่อในพระเจ้า ผมพูดกับตัวเองว่า ‘ปาสคาล เจ้าจะไม่เดียวดายอีกต่อไป.’ เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน.
จากนั้นไม่นาน ผมกับเพื่อนหญิงก็มีลูกสาวตัวน้อย—อามองดีน. เธอเป็นแก้วตาดวงใจของผม. เนื่องจากผมเชื่อในพระเจ้าแล้ว ผมจึงเริ่มนับถือหลักศีลธรรมบางอย่างที่ผมรู้. ผมเลิกขโมยและเลิกโกหก และไม่ช้าผมก็ตระหนักว่าสิ่งนี้ช่วยผมให้หลีกเลี่ยงปัญหาหลายอย่างกับคนรอบข้าง. ใช่ เรามีปัญหาของเรา และอุทยานของผมไม่ได้สนองทุกสิ่งที่หวังไว้. ชาวสวนที่ปลูกองุ่นในท้องถิ่นนั้นใช้ยาฆ่าแมลงและยาปราบวัชพืชซึ่งทำให้พืชผลของผมปนเปื้อนพิษไปด้วย. คำถามของผมเรื่องสาเหตุของความชั่วยังไม่ได้รับคำตอบ. นอกจากนี้ แม้ว่าผมได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับชีวิตครอบครัวมามาก แต่ก็ไม่ได้ป้องกันการโต้เถียงอย่างรุนแรงกับเพื่อนหญิงของผม. เรามีเพื่อนไม่มาก และพวกเขาก็ไม่ใช่เพื่อนแท้ บางคนถึงกับพยายามทำให้เพื่อนหญิงของผมนอกใจ. จะต้องมีอุทยานที่ดีกว่านี้.
การอธิษฐานได้รับคำตอบ
ผมมักจะอธิษฐานถึงพระเจ้าด้วยวิธีของตัวเองเพื่อขอการชี้นำในชีวิต. เช้าวันอาทิตย์วันหนึ่ง มีผู้หญิงท่าทางเป็นมิตรชื่ออีเรน โลเปซ กับลูกชายเล็ก ๆ ของเธอมาที่ประตูบ้าน. เธอเป็นพยานพระยะโฮวา. ผมรับฟังสิ่งที่เธอพูดและตกลงให้กลับมาเยี่ยมอีก. มีชายสองคนมาหาผม. จากการสนทนากัน ผมจำได้สองอย่าง—อุทยานและราชอาณาจักรของพระเจ้า. ผมเฝ้าถนอมความคิดดังกล่าวไว้ในหัวใจ และเมื่อหลายเดือนผ่านไปผมก็เข้าใจว่าสักวันผมจะต้องจัดเรื่องราวต่าง ๆ ให้ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า หากต้องการมีสติรู้สึกผิดชอบที่สะอาดและพบความสุขแท้.
เพื่อทำให้ชีวิตของเราประสานกับพระคำของพระเจ้า ทีแรกเพื่อนหญิงคิดจะจดทะเบียนสมรสกับผม. ต่อมา เธอคบหาสมาคมกับคนที่ไม่ดีซึ่งเยาะเย้ยพระเจ้าและกฎหมายของพระองค์. เมื่อกลับถึงบ้านในเย็นวันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ ผมตกใจแทบช็อก. บ้านของเราว่างเปล่า. เพื่อนหญิงของผมจากไปพร้อมลูกสาววัยสามขวบ. ผมเฝ้าคอยเธอกลับมาอยู่หลายวัน—แต่ไร้ผล. แทนที่จะโทษพระเจ้า ผมอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระองค์.
หลังจากนั้นไม่นาน ผมได้หยิบคัมภีร์ไบเบิลไปนั่งใต้ต้นมะเดื่อ แล้วเริ่มอ่าน. ที่จริง ผมอ่านด้วยความกระหายเต็มที่. ถึงแม้ผมเคยอ่านหนังสือทุกชนิดที่เขียนโดยนักจิตวิเคราะห์และนักจิตวิทยา แต่ผมไม่เคยพบสติปัญญาเช่นนี้เลย. หนังสือนี้ต้องได้รับการเขียนโดยการดลใจจากพระเจ้า. คำสอนของพระเยซูและการที่พระองค์เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ทำเอาผมตะลึง. ผมได้รับการปลอบประโลมจากพระธรรมบทเพลงสรรเสริญ และทึ่งกับสติปัญญาในพระธรรมสุภาษิตที่นำไปใช้ได้จริง. ผมตระหนักทันทีว่า แม้การศึกษาสิ่งทรงสร้างจะโน้มนำคนเราเข้ามาหาพระเจ้าได้อย่างวิเศษ แต่ก็เผยแค่ “ผิวนอกแห่งราชกิจของพระองค์” เท่านั้น.—โยบ 26:14.
พยานฯ ที่มาเยี่ยมได้ให้หนังสือความจริงซึ่งนำไปสู่ชีวิตถาวร และการทำให้ชีวิตครอบครัวของท่านมีความสุข ไว้กับผมด้วย.a การอ่านหนังสือนั้นทำให้ผมตาสว่าง. หนังสือความจริง ช่วยผมให้เข้าใจสาเหตุที่มนุษย์กำลังเผชิญกับการแพร่ไปทั่วโลกของมลพิษ, สงคราม, ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น, และการคุกคามเรื่องมหาประลัยนิวเคลียร์. และเช่นเดียวกับท้องฟ้าสีแดงที่ผมเห็นจากสวนเป็นสัญญาณว่าวันรุ่งขึ้นอากาศจะดี เหตุการณ์ดังกล่าวก็พิสูจน์ว่าราชอาณาจักรของพระเจ้ามาใกล้แล้ว. ส่วนหนังสือครอบครัว นั้นผมอยากจะให้เพื่อนหญิงได้ดูจริง ๆ และบอกเธอว่าเราสามารถมีความสุขได้โดยเอาคำแนะนำของคัมภีร์ไบเบิลไปปฏิบัติ. แต่เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว.
ทำความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณ
ผมต้องการรู้มากขึ้น จึงขอให้พยานคนหนึ่งชื่อโรแบร์มาเยี่ยม. เขาแปลกใจมากที่ผมบอกว่าอยากจะรับบัพติสมา ดังนั้น การศึกษาพระคัมภีร์จึงเริ่มขึ้น. ผมเริ่มพูดกับคนอื่น ๆ ทันทีเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังศึกษา และเริ่มจำหน่ายจ่ายแจกหนังสือต่าง ๆ ที่ผมได้รับมาจากหอประชุม.
เพื่อจะทำงานหาเลี้ยงชีพ ผมได้สมัครเข้าเรียนวิชาก่ออิฐและฉาบปูน. การตระหนักถึงผลดีที่พระคำของพระเจ้าสามารถทำได้เพื่อเรา ทำให้ผมฉวยทุกโอกาสประกาศอย่างไม่เป็นทางการแก่เพื่อนนักเรียนและครู. เย็นวันหนึ่งผมพบแซชที่ระเบียงทางเดิน. ในมือเขามีวารสารสองสามเล่ม. ผมพูดกับเขาว่า “คุณคงชอบอ่านหนังสือนะครับ.” “ใช่ แต่ผมเบื่อที่จะอ่านหนังสือพวกนี้.” ผมถามเขาว่า “คุณอยากจะอ่านหนังสือที่ดีจริง ๆ ไหม?” เราคุยกันเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าอย่างออกรสชาติ แล้วเขาได้รับหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลบางเล่ม. สัปดาห์ต่อมา เขาไปหอประชุมกับผม และการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลก็เริ่มขึ้น.
วันหนึ่งผมถามโรแบร์ว่าผมจะไปเผยแพร่ตามบ้านได้ไหม. เขาเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าของเขาและหาสูทชุดหนึ่งให้ผม. วันอาทิตย์ต่อมา ผมก็ออกไปในงานเผยแพร่กับเขาเป็นครั้งแรก. ในที่สุด วันที่ 7 มีนาคม 1981 ผมก็รับบัพติสมาซึ่งเป็นการยืนยันอย่างเปิดเผยถึงการอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาพระเจ้า.
เครื่องช่วยในยามทุกข์
ในระหว่างนั้นผมทราบที่อยู่ในต่างประเทศซึ่งอามองดีนและแม่ของเธออาศัยอยู่. อนิจจา แม่ของเธอไม่อนุญาตให้ผมพบลูกสาว ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายทุกอย่าง ตามบทบัญญัติของประเทศที่เธออยู่. หัวใจผมแทบสลาย. แม่ของอามองดีนแต่งงานใหม่ และผมรู้สึกสิ้นหวังหนักเข้าไปอีกเมื่อได้รับหนังสือแจ้งจากทางการว่าสามีของเธอรับลูกสาวผมเป็นบุตรบุญธรรม—โดยที่ผมไม่ยินยอมแม้แต่น้อย. ผมไม่มีสิทธิใด ๆ ในตัวลูกอีกต่อไป. แม้จะฟ้องร้องตามกฎหมาย แต่ผมก็ไม่ได้รับสิทธิที่จะไปเยี่ยม. ผมรู้สึกราวกับแบกของหนักไว้บนบ่าสักร้อยปอนด์ เจ็บปวดเหลือเกิน.
แต่พระคำของพระยะโฮวาค้ำจุนผมในหลายวิธี. วันหนึ่งขณะที่ผมระทมทุกข์สุดแสน ผมอ่านถ้อยคำในสุภาษิต 24:10 (ล.ม.) ซ้ำแล้วซ้ำอีกที่ว่า “เจ้าแสดงตัวท้อแท้ในวันที่มีความทุกข์ยากหรือ? กำลังของเจ้าจะมีน้อย.” ข้อนี้ช่วยไม่ให้จิตใจผมแตกสลาย. ในอีกโอกาสหนึ่ง หลังจากล้มเหลวในการพยายามจะพบลูกสาว ผมออกไปในงานรับใช้และกำหูกระเป๋าหนังสือแน่นสุดแรงเกิด. หลังจากผ่านชั่วขณะที่ยากลำบากนี้ ผมก็ได้ประสบความจริงของพระธรรมบทเพลงสรรเสริญ 126:6 ที่บอกว่า “ผู้ที่เดินร้องไห้ไปหว่านพืชนั้น, ไม่ต้องสงสัย, คงจะแบกฟ่อนข้าวของตนกลับมาอีกด้วยความยินดี.” บทเรียนสำคัญอย่างหนึ่งที่ผมได้เรียนก็คือ เมื่อคุณประสบการทดลองอย่างหนัก ครั้นคุณทำทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อแก้ปัญหานั้นแล้ว คุณต้องเก็บปัญหาดังกล่าวไว้เบื้องหลังและมุ่งหน้าต่อไปด้วยความตั้งใจแน่วแน่ในการรับใช้พระยะโฮวา. นี่เป็นวิธีเดียวที่จะรักษาความยินดีของคุณไว้ได้.
เอื้อมไปหาสิ่งที่ดีกว่า
เนื่องจากได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของผม คุณพ่อคุณแม่จึงเสนอจะช่วยผมให้ศึกษาต่อไปในมหาวิทยาลัย. ผมขอบคุณท่านทั้งสอง แต่เดี๋ยวนี้ผมมีเป้าหมายอีกอย่างหนึ่งแล้ว. ความจริงทำให้ผมเป็นอิสระจากปรัชญาของมนุษย์, รหัสยลัทธิ, และโหราศาสตร์. บัดนี้ผมมีเพื่อนแท้ซึ่งจะไม่มีวันฆ่ากันและกันในสงคราม. และในที่สุด ผมก็ได้คำตอบสำหรับคำถามที่ว่าเหตุใดจึงมีความทุกข์มากมายเหลือเกินบนแผ่นดินโลก. ความรู้สึกซาบซึ้งใจนี้กระตุ้นให้ผมอยากจะรับใช้พระเจ้าด้วยสุดกำลังของผม. พระเยซูทุ่มเทตัวเองอย่างเต็มที่ในงานรับใช้ และผมต้องการติดตามแบบอย่างของพระองค์.
ในปี 1983 ผมเลิกธุรกิจก่ออิฐและฉาบปูนเพื่อมาเป็นผู้รับใช้เต็มเวลา. คำอธิษฐานของผมได้คำตอบ ผมได้งานไม่เต็มเวลาในสวนสาธารณะเพื่อเลี้ยงดูตัวเอง. น่ายินดีจริง ๆ ที่ได้เข้าโรงเรียนไพโอเนียร์พร้อมกับแซช ชายหนุ่มที่ผมให้คำพยานในโรงเรียนสอนวิชาก่ออิฐและฉาบปูน! หลังจากเป็นไพโอเนียร์ประจำสามปี ผมรู้สึกว่าอยากจะรับใช้พระยะโฮวาให้มากขึ้นอีก. ด้วยเหตุนี้ ในปี 1986 ผมจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นไพโอเนียร์พิเศษในเมืองโพรแวงที่มีทัศนียภาพสวยงาม ไม่ไกลจากปารีส. บ่อยครั้ง เมื่อกลับมาถึงบ้านในตอนเย็นผมจะคุกเข่าอธิษฐานขอบพระคุณพระยะโฮวาสำหรับวันอันแสนวิเศษที่ผมได้ใช้ไปในการพูดคุยกับคนอื่น ๆ เกี่ยวกับพระองค์. ที่จริง ความยินดีใหญ่ยิ่งที่สุดสองอย่างในชีวิตของผมคือ การพูดกับพระเจ้า และการพูดเรื่องของพระเจ้า.
ความยินดีใหญ่หลวงอีกอย่างหนึ่งก็คือ คุณแม่ของผมซึ่งมีอายุ 68 ปีรับบัพติสมา ท่านอาศัยอยู่ในเซบาซอง หมู่บ้านเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส. เมื่อคุณแม่เริ่มอ่านคัมภีร์ไบเบิล ผมได้ส่งบอกรับหอสังเกตการณ์ และตื่นเถิด! ให้ท่าน. ท่านเป็นคนช่างคิด และไม่นานนักท่านก็ตระหนักว่าสิ่งที่ได้อ่านนั้นเป็นความจริง.
เบเธล—อุทยานฝ่ายวิญญาณที่น่าทึ่ง
เมื่อสมาคมว็อชเทาเวอร์ตัดสินใจจะลดจำนวนไพโอเนียร์พิเศษ ผมได้เขียนใบสมัครเข้าโรงเรียนฝึกอบรมเพื่องานรับใช้ และเบเธล ซึ่งเป็นสำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวาในฝรั่งเศส. ผมต้องการฝากเรื่องนี้ให้พระยะโฮวาตัดสินว่าการรับใช้แบบใดดีที่สุดที่ผมสามารถทำได้. ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น คือในเดือนธันวาคม 1989 ผมก็ถูกเชิญเข้าเบเธลในเมืองลูวีเย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส. สิ่งนี้ปรากฏว่าเป็นผลดีมาก เพราะการอยู่ที่เบเธลทำให้ผมสามารถช่วยน้องชายและน้องสะใภ้ดูแลคุณพ่อคุณแม่ยามท่านเจ็บป่วย. ผมคงจะทำเช่นนี้ไม่ได้หากเป็นมิชชันนารีในที่ห่างไกลหลายพันกิโลเมตร.
คุณแม่มาเยี่ยมผมที่เบเธลหลายครั้ง. แม้จะหมายถึงการยอมเสียสละที่ไม่มีผมอยู่ใกล้ แต่ท่านก็มักจะบอกผมว่า “อยู่ที่เบเธลเถอะลูก. แม่มีความสุขที่ลูกรับใช้พระยะโฮวาแบบนี้.” น่าเสียใจที่บัดนี้ทั้งคุณพ่อและคุณแม่จากไปแล้ว. ผมอยากจะเห็นท่านทั้งสองเหลือเกินเมื่อแผ่นดินโลกถูกเปลี่ยนเป็นอุทยานจริง ๆ!
ผมเชื่ออย่างแท้จริงว่า ไม่มีบ้านใดคู่ควรแก่คำพรรณนาว่า “อุทยานเดี๋ยวนี้” มากไปกว่าเบเธล—“ราชนิเวศของพระเจ้า”—เพราะอุทยานที่แท้จริงในอันดับแรกหมายถึงอุทยานฝ่ายวิญญาณ และสภาพทางฝ่ายวิญญาณก็แผ่ซ่านอยู่ทั่วเบเธล. เรามีโอกาสปลูกฝังผลแห่งพระวิญญาณ. (ฆะลาเตีย 5:22, 23) อาหารฝ่ายวิญญาณอันอุดมที่เราได้รับระหว่างการพิจารณาข้อพระคัมภีร์ประจำวัน และการศึกษาหอสังเกตการณ์ ประจำครอบครัวช่วยเสริมกำลังผมในงานรับใช้ที่เบเธล. ยิ่งกว่านั้น การได้สมาคมคบหากับพี่น้องชายหญิงที่มีจิตใจฝักใฝ่ฝ่ายวิญญาณซึ่งรับใช้พระยะโฮวาด้วยความซื่อสัตย์เป็นเวลาหลายสิบปีทำให้เบเธลเป็นสถานที่ที่ไม่มีใดเหมือนสำหรับการพัฒนาทางฝ่ายวิญญาณ. แม้ขณะนี้ผมถูกพรากจากลูกสาวเป็นเวลาถึง 17 ปี แต่ผมก็พบเยาวชนที่กระตือรือร้นจำนวนมากที่เบเธล ซึ่งผมมองพวกเขาเสมือนลูก และความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณของพวกเขาทำให้ผมปีติยินดี. ตลอดเวลาแปดปีที่ผ่านมา ผมได้รับมอบหมายงานถึงเจ็ดชนิดต่าง ๆ กัน. แม้ว่าการเปลี่ยนหน้าที่มอบหมายไม่ง่ายเสมอไป แต่การฝึกทำงานเหล่านั้นก็ให้ประโยชน์ระยะยาว.
ผมเคยปลูกถั่วชนิดหนึ่งซึ่งให้ผลผลิตถึงหนึ่งร้อยเท่า. ทำนองคล้ายกัน ผมประสบว่าเมื่อเราหว่านสิ่งไม่ดี เราจะเก็บเกี่ยวสิ่งเลวร้ายถึงร้อยเท่า—และไม่ใช่เก็บเกี่ยวครั้งเดียว. ประสบการณ์เป็นเหมือนโรงเรียนซึ่งสอนบทเรียนที่แพงมาก. ถ้าเลือกได้ผมคงไม่มีวันจะสมัครเข้าโรงเรียนเช่นว่านี้ แต่ขอเติบโตในแนวทางของพระยะโฮวาดีกว่า. ช่างเป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ สำหรับเยาวชนที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยบิดามารดาคริสเตียน! ไม่มีข้อสงสัย นับว่าดีกว่าที่จะหว่านสิ่งดีในงานรับใช้พระยะโฮวา แล้วเก็บเกี่ยวสันติสุขและความอิ่มใจพอใจร้อยเท่าทวี.—ฆะลาเตีย 6:7, 8.
เมื่อผมเป็นไพโอเนียร์ บางครั้งผมเดินผ่านร้านขายหนังสือทางศาสนาที่ผมเคยเขียนคำขวัญของผู้นิยมลัทธิอนาธิปไตยไว้ที่ฝาผนัง. ผมเคยเข้าไปในร้านนั้นด้วยซ้ำและพูดกับเจ้าของร้านเรื่องพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่และเรื่องพระประสงค์ของพระองค์. ใช่แล้ว พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่จริง! นอกจากนี้ พระยะโฮวาพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว ยังเป็นพระบิดาผู้สัตย์ซื่อซึ่งไม่เคยละทิ้งเหล่าบุตรของพระองค์เลย. (วิวรณ์ 15:4) ขอให้ฝูงชนจากทุกชาติจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ พบอุทยานฝ่ายวิญญาณในขณะนี้—และอุทยานที่จะได้รับการฟื้นฟูในอนาคตอันใกล้—โดยการรับใช้และการสรรเสริญพระยะโฮวา พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่!
[เชิงอรรถ]
a จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่งนิวยอร์ก.
[รูปภาพหน้า 26]
สิ่งทรงสร้างอันน่าพิศวงทำให้ผมตกลงปลงใจเชื่อในพระเจ้า.
(ขวา) ปัจจุบันทำงานในเบเธล