พวกคาทาร์—เขาเป็นคริสเตียนผู้พลีชีพเพื่อความเชื่อไหม?
“ฆ่าให้หมด พระเจ้าจะทรงรู้จักบุตรทั้งหลายของพระองค์.” ในวันนั้นของฤดูร้อนปี 1209 ประชากรของเมืองเบซีเยในภาคใต้ของฝรั่งเศสถูกสังหารหมู่. นักบวช อาร์โนลด์ อะมัลริค ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตของโปปเป็นหัวหน้าของกองทหารครูเสดคาทอลิก ไม่แสดงความเมตตา. เมื่อคนของเขาถามว่า พวกเขาจะแยกแยะอย่างไรระหว่างชาวคาทอลิกกับพวกออกหาก ดังที่รายงาน เขาให้คำตอบอัปยศดังที่ยกมากล่าวข้างต้น. นักประวัติศาสตร์ชาวคาทอลิกทำให้คำตอบของเขาฟังดูอ่อนลงเป็น: “ไม่ต้องกังวล. ข้าพเจ้าเชื่อว่ามีไม่กี่คนจะเปลี่ยนศาสนา.” แต่ไม่ว่าคำตอบที่แน่ชัดของเขาจะเป็นเช่นไร ผลก็คือการเข่นฆ่าชาย, หญิง, และเด็ก ๆ อย่างน้อย 20,000 คนด้วยน้ำมือของทหารครูเสด 300,000 คนซึ่งนำโดยพวกบาทหลวงตำแหน่งสูงของคริสตจักรคาทอลิก.
อะไรที่ทำให้เกิดการสังหารหมู่คราวนี้? นั่นก็คือการเริ่มต้นสงครามครูเสดอัลบีเจนส์ที่โปป อินโนเซนต์ที่สามได้ทำกับพวกที่คริสตจักรคาทอลิกเรียกว่าพวกออกหากในแคว้นลองกูโด ในภาคกลางตอนใต้ของฝรั่งเศส. ก่อนสงครามสิ้นสุดในอีกประมาณ 20 ปีต่อมา เป็นไปได้ว่ามีผู้คนหนึ่งล้านคน—ทั้งพวกคาทาร์, พวกวัลเดนส์, และแม้แต่พวกคาทอลิกจำนวนมาก—เสียชีวิต.
ความขัดแย้งทางศาสนาในยุโรปยุคกลาง
ความเจริญอย่างรวดเร็วทางการค้าในศตวรรษที่ 11 สากลศักราชได้ก่อการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจของยุโรปยุคกลาง. เกิดมีเมืองต่าง ๆ ขึ้นหลายเมืองเพื่อเป็นที่อยู่ของพวกช่างฝีมือและพวกพ่อค้าที่เพิ่มจำนวนขึ้น. ทั้งนี้ทำให้มีช่องทางสำหรับแนวความคิดใหม่ ๆ. ความขัดแย้งกันทางศาสนาเริ่มฝังรากในลองกูโด ที่ซึ่งอารยธรรมที่ก้าวหน้าและยอมรับสิ่งอื่นมีความเจริญยิ่งกว่าบริเวณอื่นใดในยุโรป. นครตูลูสในลองกูโดเป็นนครที่มั่งคั่งที่สุดอันดับสามในยุโรป เป็นโลกซึ่งพวกจินตกวีเฟื่องฟู ซึ่งบทกวีของพวกเขาบางคนพาดพิงถึงประเด็นทางการเมืองและทางศาสนา.
เมื่อพรรณนาสภาพการณ์ทางศาสนาในศตวรรษที่ 11 และ 12 หนังสือการตรวจสอบประวัติศาสตร์และปรัชญาทางศาสนา (ภาษาฝรั่งเศส) แถลงดังนี้: “เช่นเดียวกับในศตวรรษก่อน ในศตวรรษที่ 12 ยังคงมีการโต้แย้งในเรื่องศีลธรรมของนักเทศน์นักบวช, ความมั่งคั่งของเขา, การรับสินบนของเขา, และการผิดศีลธรรมของเขา แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันก็คือ ความมั่งคั่ง, อำนาจของพวกเขา, การคบคิดกันกับพวกผู้มีอำนาจฝ่ายโลก, และการที่พวกเขาทำตัวเป็นลูกมือของผู้มีอำนาจ.”
ผู้เดินทางประกาศศาสนา
แม้แต่โปปอินโนเซนต์ที่สามก็ยอมรับว่า ต้องโทษการทุจริตที่ระบาดภายในคริสตจักรที่ทำให้มีการเพิ่มจำนวนผู้เดินทางเผยแพร่ซึ่งขัดแย้งกับคริสตจักรคาทอลิกในยุโรป โดยเฉพาะในภาคใต้ของฝรั่งเศสและภาคเหนือของอิตาลี. คนเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นพวกคาทาร์หรือมิฉะนั้นก็พวกวัลเดนส์. เขาตำหนิพวกบาทหลวงที่ไม่ได้สอนผู้คน โดยกล่าวว่า “ผู้คนขาดแคลนขนมปังฝ่ายวิญญาณซึ่งพวกคุณไม่สนใจจะให้.” กระนั้น แทนที่จะส่งเสริมให้มีการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลสำหรับประชาชน อินโนเซนต์กลับอ้างว่า “พระคัมภีร์ของพระเจ้าลึกซึ้งถึงขนาดที่ไม่เพียงสามัญชนและผู้ไม่รู้หนังสือ แต่แม้กระทั่งผู้ที่ฉลาดและมีความรู้ก็ยังไม่มีความสามารถเพียงพอจะพยายามเข้าใจได้.” มีการห้ามทุกคนอ่านคัมภีร์ไบเบิลยกเว้นพวกนักเทศน์นักบวช และให้อ่านเฉพาะในภาษาลาตินเท่านั้น.
เพื่อสกัดกั้นการเดินทางเผยแพร่ของพวกที่ไม่เห็นด้วย โปปอนุมัติการตั้งคณะบาทหลวงเดินทางเผยแพร่ คือคณะโดมินิกัน. ตรงกันข้ามกับพวกนักเทศน์นักบวชคาทอลิกที่มั่งคั่ง พวกบาทหลวงเดินทางนี้ต้องเป็นผู้เดินทางเผยแพร่ซึ่งได้รับมอบหมายให้ป้องกันคริสตจักรคาทอลิกดั้งเดิมไว้จาก “พวกออกหาก” ในฝรั่งเศสภาคใต้. นอกจากนี้ โปปยังส่งทูตของตนไปหาเหตุผลกับพวกคาทาร์และพยายามนำพวกเขากลับมาสู่คอกแกะของคาทอลิก. เนื่องจากความพยายามนี้ล้มเหลว และทูตคนหนึ่งของเขาถูกฆ่า ซึ่งเขาคิดเอาว่าโดยพวกออกหาก อินโนเซนต์ที่สามจึงสั่งให้ทำสงครามครูเสดต่อพวกอัลบีเจนส์ในปี 1209. อัลบีเป็นหนึ่งในเมืองต่าง ๆ ที่มีพวกคาทาร์มากเป็นพิเศษ ดังนั้น ผู้บันทึกจดหมายเหตุของคริสตจักรจึงกล่าวถึงพวกคาทาร์ว่า พวกอัลบีเจนส์ (ภาษาฝรั่งเศส อัลบีชีอัว) และใช้คำนี้เพื่อระบุตัว “พวกออกหาก” ทั้งหมดในภูมิภาคนั้น รวมทั้งพวกวัลเดนส์ด้วย. (ดูกรอบข้างล่าง.)
พวกคาทาร์คือใคร?
คำ “คาทาร์” มาจากคำภาษากรีก คาทาโรสʹ ซึ่งหมายความว่า “บริสุทธิ์.” ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ถึงศตวรรษที่ 14 ลัทธิคาทาร์แพร่หลายโดยเฉพาะในลอมบาดี ภาคเหนือของอิตาลี และในลองกูโด. ความเชื่อของพวกคาทาร์เป็นการผสมผสานของลัทธิทวินิยมแบบตะวันออกกับลัทธิไญยนิยม ซึ่งอาจนำเข้ามาโดยพวกพ่อค้าและพวกมิชชันนารีต่างชาติ. สารานุกรมศาสนา (ภาษาอังกฤษ) ให้คำจำกัดความลัทธิทวินิยมของพวกคาทาร์ว่าเป็นความเชื่อใน “หลักสองประการ ประการหนึ่งดี ซึ่งควบคุมทุกสิ่งที่เป็นวิญญาณ อีกประการหนึ่งนั้นชั่ว ซึ่งก่อให้เกิดสิ่งฝ่ายวัตถุ รวมทั้งกายมนุษย์ด้วย.” พวกคาทาร์เชื่อว่า ซาตานสร้างโลกในลักษณะวัตถุซึ่งถูกระบุโทษให้พินาศอย่างไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้. ความหวังของพวกเขาก็คือ หนีให้พ้นจากโลกลักษณะวัตถุที่ชั่วช้านี้.
พวกคาทาร์แบ่งเป็นสองจำพวก คือพวกสิทธชนกับผู้เชื่อถือ. พวกสิทธชนถูกรับเข้ามาโดยธรรมเนียมการรับบัพติสมาฝ่ายวิญญาณที่เรียกว่าคอนโซลาเมนตุม. บัพติสมานี้ทำโดยการวางมือ หลังจากการทดสอบหนึ่งปี. คิดกันว่าธรรมเนียมนี้จะปลดปล่อยผู้เข้ารับการทดสอบจากการปกครองของซาตาน, ทำให้เขาบริสุทธิ์จากบาปทุกประการ, และถ่ายทอดพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้. การทำเช่นนี้ทำให้มีฐานะ “สิทธชน” ซึ่งใช้กับกลุ่มค่อนข้างน้อยซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้เหล่าผู้เชื่อถือ. พวกสิทธชนให้คำปฏิญาณตนในเรื่องการประมาณตน, ความบริสุทธิ์, และการอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ย. ถ้าสมรสแล้ว สิทธชนต้องแยกจากคู่สมรสของตน เนื่องจากพวกคาทาร์เชื่อว่า เพศสัมพันธ์คือบาปเริ่มแรก.
พวกผู้เชื่อถือคือบุคคลซึ่งในขณะที่ไม่รับเอาแบบชีวิตที่บำเพ็ญพรต แต่ก็ยอมรับคำสอนของพวกคาทาร์. โดยคุกเข่าให้เกียรติสิทธชนด้วยพิธีที่เรียกกันว่าเมลิโอราเมนตุม ผู้เชื่อถือขอการให้อภัยและการอวยพร. เพื่อทำให้ตนเองสามารถดำเนินชีวิตปกติธรรมดา พวกผู้เชื่อถือทำสัญญาคอนเวเนนซา หรือข้อตกลงกับพวกสิทธชน เพื่อจัดให้มีการรับบัพติสมาฝ่ายวิญญาณตอนใกล้ตาย หรือคอนโซลาเมนตุม.
ทัศนะต่อคัมภีร์ไบเบิล
แม้พวกคาทาร์ยกคัมภีร์ไบเบิลมากล่าวอย่างมากมาย แต่ส่วนมากพวกเขามองดูคัมภีร์ไบเบิลว่าเป็นแหล่งแห่งคำเปรียบเปรยและคตินิทาน. พวกเขาถือว่าพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูส่วนใหญ่มาจากพญามาร. พวกเขาใช้บางส่วนจากพระคัมภีร์ภาคภาษากรีก เช่นข้อความที่ให้เห็นความแตกต่างระหว่างเนื้อหนังกับวิญญาณ เพื่อสนับสนุนหลักปรัชญาทวินิยมของตน. ในคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาอธิษฐานขอ “อาหารอันดีวิเศษ” (ซึ่งหมายถึง “อาหารฝ่ายวิญญาณ”) แทนที่จะขอ “อาหารประจำวัน” อาหารจริง ๆ ซึ่งในสายตาพวกเขาถือว่าเป็นสิ่งชั่วแต่ก็จำเป็น.
คำสอนหลายข้อของพวกคาทาร์ขัดแย้งโดยตรงกับคัมภีร์ไบเบิล. ยกตัวอย่าง พวกเขาเชื่อเรื่องจิตวิญญาณอมตะและการกลับชาติมาเกิด. (เทียบกับท่านผู้ประกาศ 9:5, 10; ยะเอศเคล 18:4, 20.) นอกจากนี้ พวกเขาเชื่อโดยอาศัยข้อเขียนอธิกธรรม. อย่างไรก็ตาม เท่าที่พวกคาทาร์ได้แปลบางส่วนของพระคัมภีร์เป็นภาษาท้องถิ่น พวกเขาได้ทำให้คัมภีร์ไบเบิลเป็นที่รู้จักมากขึ้นถึงระดับหนึ่งในยุคกลาง.
ไม่ใช่คริสเตียน
พวกสิทธชนถือว่าตนเป็นผู้สืบทอดโดยชอบธรรมของพวกอัครสาวก และด้วยเหตุนั้น จึงเรียกตนเองว่า “คริสเตียน” โดยเน้นเรื่องนี้ด้วยการเพิ่มคำว่า “แท้” หรือ “ดี” เข้าไป. แต่แท้จริงแล้ว ข้อเชื่อหลายอย่างของพวกคาทาร์ไม่ใช่เป็นของศาสนาคริสเตียน. ถึงแม้พวกคาทาร์ยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า แต่พวกเขาปฏิเสธการที่พระองค์เสด็จมาในเนื้อหนังและเครื่องบูชาไถ่ของพระองค์. โดยตีความอย่างผิด ๆ ในเรื่องคำกล่าวโทษเนื้อหนังและโลกในคัมภีร์ไบเบิล พวกเขาถือว่าวัตถุทั้งหมดบังเกิดจากความชั่ว. ฉะนั้น พวกเขาจึงยืนยันว่า พระเยซูทรงมีได้เฉพาะกายวิญญาณเท่านั้น และว่าในขณะที่อยู่บนแผ่นดินโลกนั้นพระองค์เพียงแต่ดูเหมือนมีกายเนื้อหนัง. เหมือนกับพวกออกหากในศตวรรษแรก พวกคาทาร์เป็น “บุคคลที่ไม่ยอมรับพระเยซูคริสต์ว่าเสด็จมาเป็นเนื้อหนัง.”—2 โยฮัน 7, ล.ม.
ในหนังสือของเขาชื่อ คำสอนออกหากในยุคกลาง (ภาษาอังกฤษ) เอ็ม. ดี. แลมเบิร์ต เขียนว่า พวกคาทาร์ “ได้เอาการบำเพ็ญพรตตามวินัยมาแทนหลักศีลธรรมแบบคริสเตียน . . . ขจัดเรื่องการไถ่ออกไปด้วยการไม่ยอมรับอำนาจช่วยให้รอดของ [การสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์].” เขาถือว่า “ลักษณะดึงดูดใจที่แท้ของพวกสิทธชนนั้นอยู่ที่พวกผู้สอนที่เป็นนักพรตจากตะวันออก, พระสงฆ์และนักบวชที่จาริกของจีนหรืออินเดีย, พวกผู้เชี่ยวชาญข้อลึกลับของออร์ฟีอุส, หรืออาจารย์ของพวกไญยนิยม.” ในความเชื่อของพวกคาทาร์ ความรอดไม่ได้อาศัยเครื่องบูชาไถ่ของพระเยซูคริสต์ แต่อาศัยคอนโซลาเมนตุม หรือการรับบัพติสมาเข้าสู่พระวิญญาณบริสุทธิ์. สำหรับคนที่ถูกชำระให้บริสุทธิ์เช่นนั้น ความตายจะทำให้หลุดพ้นจากวัตถุ.
สงครามศาสนาที่ไม่ศักดิ์สิทธิ์
สามัญชนซึ่งอ่อนอกอ่อนใจกับข้อบังคับเรียกร้องและความเสื่อมที่แพร่หลายของพวกนักเทศน์นักบวช ถูกดึงดูดใจด้วยวิถีชีวิตของพวกคาทาร์. พวกสิทธชนระบุตัวคริสตจักรคาทอลิกกับคณะปกครองของนักบวชว่าเป็น “สภาของซาตาน” และ “แม่ของหญิงแพศยาทั้งหลาย” ในวิวรณ์ 3:9 และ 17:5. ลัทธิคาทาร์เจริญรุ่งเรืองและเข้าแทนที่คริสตจักรในฝรั่งเศสภาคใต้. ปฏิกิริยาของโปปอินโนเซนต์ที่สามคือสั่งให้ทำและให้เงินทุนสนับสนุนสงครามที่เรียกกันว่า ครูเสดอัลบีเจนส์ สงครามศาสนาครั้งแรกที่ก่อการภายในคริสต์ศาสนจักรเพื่อต่อสู้กับผู้คนที่ประกาศตัวเป็นคริสเตียน.
โดยทางจดหมายและทูต โปปได้รบเร้าเหล่ากษัตริย์, เคานต์, ดยุค, และพวกอัศวินที่เป็นคาทอลิกในยุโรป. เขาสัญญาจะให้ล้างบาปและยกทรัพย์สินของลองกูโดให้ทุกคนที่จะต่อสู้เพื่อกำจัดพวกออกหาก “ไม่ว่าโดยวิธีใด.” เสียงเรียกร้องของเขาไม่ถูกละเลย. โดยการนำของพวกบาทหลวงตำแหน่งสูงกับนักบวช กองทัพนักรบครูเสดซึ่งมีหลายหลากจากภาคเหนือของฝรั่งเศส, จากฟลานเดอร์ส, และเยอรมนี ต่างมุ่งหน้าลงใต้ทางหุบเขาโรน.
การทำลายเบซีเยเป็นการเริ่มสงครามแห่งการพิชิตซึ่งทำลายล้างลองกูโดด้วยไฟเผาผลาญและการสังหารอย่างบ้าคลั่ง. เมืองอัลบี, คาร์กาซอน, คาเตร, ฟัวซ์, นาร์บอน, เตอร์เม, และตูลูส ล้วนพินาศล่มจมโดยพวกนักรบครูเสดกระหายเลือด. ในป้อมแข็งแรงของพวกคาทาร์อย่างเช่นที่ คาเซ, มีเนอร์วา, และลาวอร์ พวกสิทธชนหลายร้อยคนถูกเผาที่หลัก. ตามคำกล่าวของนักบวชผู้เขียนจดหมายเหตุ ปีแอร์ เด โวเดอร์เซอร์เน พวกนักรบครูเสด ‘เผาพวกสิทธชนทั้งเป็นด้วยใจยินดี.’ ในปี 1229 หลังจากการโจมตีและทำลายล้าง 20 ปี ลองกูโดก็ตกอยู่ใต้การปกครองของฝรั่งเศส. แต่การเข่นฆ่ายังไม่ยุติ.
ศาลศาสนาจัดการขั้นเด็ดขาด
ในปี 1231 โปปเกรกอรีที่เก้าได้ตั้งศาลศาสนาของโปปขึ้นเพื่อให้การสนับสนุนการต่อสู้ของกองทัพ.a ในตอนแรกนั้นระบบศาลศาสนาอาศัยการกล่าวหาและการข่มขู่ และต่อมาก็อาศัยวิธีการทรมาน. จุดมุ่งหมายของศาลศาสนาคือเพื่อถอนรากถอนโคนสิ่งที่ดาบไม่อาจทำลายได้. ผู้ตัดสินแห่งศาลศาสนา—ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักบวชคาทอลิกพวกโดมินิกันและฟรานซิสกัน—ต้องรายงานต่อโปปเท่านั้น. การเผาให้ตายคือการลงโทษอย่างเป็นทางการสำหรับพวกออกหาก. ความบ้าคลั่งและความทารุณของพวกเจ้าหน้าที่ศาลศาสนามีถึงขนาด จึงเกิดการกบฏที่อัลบีและตูลูสและที่อื่น ๆ. ในอะวินโยเน สมาชิกทั้งสิ้นของศาลศาสนาถูกสังหารหมู่.
ในปี 1244 การยอมจำนนของที่มั่นบนภูเขา มงซีกูร์ ที่หลบภัยแห่งสุดท้ายของพวกสิทธชนจำนวนมาก เป็นจุดจบสำหรับพวกคาทาร์. ชายและหญิงราว 200 คนถูกกำจัดด้วยการเผาหมู่บนหลัก. ตลอดหลายปี ศาลศาสนาค้นหาตัวพวกคาทาร์ที่ยังหลงเหลืออยู่. มีรายงานว่าคาทาร์คนสุดท้ายถูกเผาบนหลักในลองกูโดในปี 1330. หนังสือพวกออกหากในยุคกลาง (ภาษาอังกฤษ) ให้ข้อสังเกตว่า “ความล่มจมของลัทธิคาทาร์เป็นความสำเร็จโดดเด่นที่สุดของศาลศาสนา.”
พวกคาทาร์ไม่ใช่คริสเตียนแท้อย่างแน่นอน. แต่การที่พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์คริสตจักรคาทอลิกนั้นหมายความว่า การกำจัดพวกเขาอย่างโหดเหี้ยมโดยพวกที่เรียกกันว่าคริสเตียนนั้นเป็นสิ่งถูกต้องไหม? ชาวคาทอลิกที่กดขี่ข่มเหงและฆาตกรรมพวกเขาก็หลู่เกียรติพระเจ้าและพระคริสต์เช่นกัน และแสดงหลักการคริสเตียนแท้อย่างผิด ๆ เมื่อพวกเขาทรมานและสังหารผู้ไม่เห็นด้วยหลายหมื่นคนนั้น.
[เชิงอรรถ]
a สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับศาลศาสนาในยุคกลาง โปรดดูเรื่อง “ศาลศาสนาอันน่าสะพรึงกลัว” ในตื่นเถิด! (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ 22 เมษายน 1986 หน้า 20-23 พิมพ์โดยสมาคม ว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่งนิวยอร์ก.
[กรอบหน้า 28]
พวกวัลเดนส์
ตอนปลายศตวรรษที่ 12 สากลศักราช ปิแอร์ วัลเดส หรือ ปีเตอร์ วัลโด นายวาณิชผู้มั่งคั่งคนหนึ่งแห่งลียง ได้ให้เงินทุนแก่การแปลส่วนต่าง ๆ ของคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาท้องถิ่นโปรวองเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นที่พูดกันในภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส. เนื่องจากเป็นชาวคาทอลิกที่จริงใจคนหนึ่ง เขาจึงเลิกธุรกิจของตนแล้วอุทิศตัวเพื่อการประกาศกิตติคุณ. ด้วยสะอิดสะเอียนพวกนักเทศน์นักบวชที่ทุจริต ชาวคาทอลิกคนอื่นอีกหลายคนทำตามเขาและกลายเป็นผู้เดินทางประกาศ.
ไม่ช้าวัลโดก็เผชิญความเป็นปฏิปักษ์จากพวกนักเทศน์นักบวชท้องถิ่น ซึ่งได้ชักจูงโปปให้สั่งห้ามการให้คำพยานอย่างเปิดเผยของเขา. ตามรายงาน เขาตอบว่า “เราพึงเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่ามนุษย์.” (เทียบกับกิจการ 5:29.) เนื่องจากเขายืนหยัดมั่นคง วัลโดจึงถูกขับออกจากศาสนา. เหล่าผู้ติดตามเขา ซึ่งเรียกกันว่าพวกวัลเดนส์ หรือเหล่าคนจนแห่งลียง พยายามทำตามแบบอย่างของเขาด้วยความตั้งใจแรงกล้าโดยการไปประกาศเป็นคู่ ๆ ตามบ้านผู้คน. ทั้งนี้ยังผลให้คำสอนของพวกเขาแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วทั่วภาคใต้, ภาคตะวันออก, และส่วนต่าง ๆ ในภาคเหนือของฝรั่งเศส รวมทั้งภาคเหนือของอิตาลีด้วย.
ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาสนับสนุนการฟื้นความเชื่อและกิจปฏิบัติของศาสนาคริสเตียนยุคต้น ๆ. พวกเขาต่อต้านคำสอนต่าง ๆ เช่น สถานชำระบาป, การอธิษฐานเพื่อคนตาย, การนมัสการมาเรีย, การอธิษฐานถึง “นักบุญ”, การบูชาภาพพระเยซูถูกตรึงกางเขน, การล้างบาป, พิธีศีลมหาสนิท, และการให้บัพติสมาแก่ทารก.b
คำสอนของพวกวัลเดนส์ขัดกันอย่างเห็นได้ชัดกับคำสอนแบบทวินิยมซึ่งไม่ใช่แบบคริสเตียนของพวกคาทาร์ ซึ่งมักจำพวกเขาสับสนกับพวกนี้บ่อย ๆ. ความสับสนนี้ส่วนใหญ่เนื่องมาจากนักโต้คารมของคาทอลิกซึ่งจงใจพยายามจะถือว่าการประกาศของพวกวัลเดนส์เป็นอันเดียวกับคำสอนของพวกอัลบีเจนส์หรือคาทาร์.
[เชิงอรรถ]
b สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพวกวัลเดนส์ โปรดดูบทความ “พวกวัลเดนส์—พวกออกหากหรือผู้แสวงความจริง?” ในหอสังเกตการณ์ (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ 1 สิงหาคม 1981 หน้า 12-15.
[รูปภาพหน้า 29]
เจ็ดพันคนตายในโบสถ์ เซนต์ แมรี แม็กดาลีนในเบซีเย เมืองที่พวกนักรบครูเสดสังหารหมู่ชาย,หญิง, และเด็ก 20,000 คน