เรื่องไม่คาดคิดที่น่าตื่นเต้น
เดนา โฟลซ์อายุได้แปดขวบตอนที่รู้ว่าเขาถูกรับมาเป็นบุตรบุญธรรม. หลายปีต่อมา เขาเริ่มนึกสงสัยว่า ‘ใครเป็นแม่ผม? แม่รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร? ทำไมแม่จึงยกผมให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่น? ผมมีพี่ ๆ น้อง ๆ ไหม?’ เชิญอ่านเรื่องราวของเดนาว่าในที่สุดเขาพบแม่ผู้ให้กำเนิดได้อย่างไร และเรื่องไม่คาดคิดที่น่าทึ่งซึ่งตามมา.
ผมเกิด วันที่ 1 สิงหาคม 1966 ที่เมืองเคชชิแกน รัฐอะแลสกา ประเทศสหรัฐอเมริกา. แพม พี่สาวอายุมากกว่าผมสองปี. พ่อของเราเป็นนักสังคมสงเคราะห์ให้กับสำนักงานเพื่อการช่วยเหลืออินเดียนแดง และท่านถูกโยกย้ายบ่อย ๆ. ในอะแลสกา เราได้ย้ายที่อยู่บ่อยครั้ง. จากนั้น เราได้อยู่ที่รัฐไอโอวา, โอกลาโฮมา, แอริโซนา, และออริกอน.
ขณะเราเยี่ยมหมู่ญาติในรัฐวิสคอนซิน คราวฤดูร้อนปี 1975 ลูกพี่ลูกน้องของผมบางคนได้พูดอย่างไม่เกรงใจเกี่ยวกับลูกพี่ลูกน้องอีกคนหนึ่งว่า “เขาเป็นบุตรบุญธรรม จริง ๆ แล้วเขาไม่ใช่โฟลซ์.” เมื่อเรากลับถึงบ้านแล้ว ผมจึงได้ถามแม่ในเรื่องนี้และรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นสีหน้าแม่มีแววตื่นตระหนก. แม่อธิบายว่าการรับเป็นบุตรบุญธรรมหมายถึงอะไร. คืนนั้น แม่บอกด้วยน้ำตาไหลพรากว่าผมก็เป็นบุตรบุญธรรม และพี่สาวของผมก็เช่นกัน.
การเป็นบุตรบุญธรรมสำหรับผมตอนนั้นไม่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไรนักหนา และสักระยะหนึ่งผมก็แทบจะไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้อีก. ผมมีแม่มีพ่อและชีวิตก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่น่าจะเป็น. พ่อแม่ผมตกลงกันว่าจะไม่ย้ายไปไหนอีก และให้ครอบครัวมีหลักแหล่งเป็นที่เป็นทางเสียที. เมื่ออายุผมได้เก้าขวบ เราก็ตั้งหลักแหล่งอยู่ในแวนคูเวอร์ รัฐวอชิงตัน. พ่อกับผมสนิทกันมาก แต่แม่กับผมไม่สนิทกันเท่าไร. ผมเป็นตัวของตัวเอง และบางครั้งก็ขืนอำนาจ และความคับข้องใจของแม่ที่เกิดขึ้นจากเรื่องนี้อาจให้คำอธิบายได้ว่าทำไมเราจึงออกจะห่างเหินกัน.
ชีวิตรักและการศึกษา ในวิทยาลัย
ตอนผมเรียนชั้นมัธยมปลาย ผมพบทรีนาและเราต้องใจกันทันที. หลังจากเรียนจบ ผมได้รับทุนการศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐออริกอน ณ คอร์แวลลิส รัฐออริกอน. ผมได้ใช้เวลาว่างเดินทางไป ๆ มา ๆ ยังเมืองแวนคูเวอร์เพื่อจะอยู่กับทรีนา ซึ่งเหลืออีกปีเดียวเธอจะจบชั้นมัธยมปลาย. ผมไม่ค่อยได้อ่านหนังสือแต่คิดเอาว่าอย่างไรผมคงสอบผ่าน. รายงานผลสอบเทอมแรกทำเอาผมตกใจมาก—เป็นผลการเรียนที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยได้มา! ผมรู้สึกละอายใจ. แต่ผมยังคงไปหาทรีนาไม่ว่างเว้น; เพียงแต่ว่าผมพกหนังสือติดตัวไปด้วย เพื่อผมจะได้อ่านช่วงที่ผมไปหาเธอ.
ครั้นแล้ว วันหนึ่ง ขณะขี่จักรยานยนต์กลับจากแวนคูเวอร์มาที่วิทยาลัย ผมประสบอุบัติเหตุร้ายแรง. ไม่นานหลังจากนั้น ผมได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่งกว่านั้นอีก เมื่อถูกรถยนต์ชนขณะข้ามถนนตรงทางม้าลาย. ผมเริ่มจับงานทำและไม่อยากจะกลับไปเรียนที่มหาวิทยาลัยอีกเลย.
สนใจศาสนา
ในที่สุด ทรีนากับผมเริ่มอยู่กินด้วยกัน. เราเชื่อพระเจ้าและต้องการรู้จักพระองค์. แต่เรารู้สึกว่าคริสตจักรหน้าไหว้หลังหลอก. ดังนั้น เราจึงพยายามอ่านคัมภีร์ไบเบิลเอง แต่ก็ไม่สามารถจับต้นชนปลายได้.
วันหนึ่ง ขณะที่ผมทำงานอยู่ในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน เพื่อน ๆ ณ ที่ทำงานเริ่มล้อเลียนชายผู้หนึ่งซึ่งผมเห็นว่าเป็นคนน่ารักที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เคยพบ. แรนดีสงบอารมณ์อดทนต่อการก่อกวนนั้น. ต่อมาในวันเดียวกัน ผมถามเขาว่า “เรื่องมันเป็นอย่างไร ผมได้ยินว่าคุณเป็นผู้เผยแพร่ใช่ไหม?”
“ใช่ครับ” เขาตอบ.
“ขึ้นกับใครล่ะ?” ผมถาม.
“ผมเป็นพยานพระยะโฮวาครับ.”
“พยานพระยะโฮวาเป็นใคร?”
“คุณไม่รู้จักจริง ๆ หรือ?” เขาถามด้วยท่าทีแสดงความประหลาดใจ.
“ไม่รู้จริง ๆ” ผมตอบ. “พยานพระยะโฮวาเป็นใคร? ผมควรจะรู้ไหม?”
“ควรรู้สิ” เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้ม. “พักเที่ยงนี้คุณจะทำอะไร?”
นั่นเป็นครั้งแรกของการสนทนาหลายครั้งเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลระหว่างชั่วโมงพักเที่ยง. คืนหนึ่ง ผมบอกเรื่องเหล่านี้แก่ทรีนา. เธอร้องออกมาว่า “อย่าพูดกับพยานพระยะโฮวาเชียว! พวกนี้มีอะไรแปลก ๆ! พวกนี้ไม่ใช่คริสเตียนด้วยซ้ำ. เขาไม่ฉลองวันคริสต์มาส.” และเธอพูดอีกหลายอย่างเกี่ยวกับพยานพระยะโฮวาตามที่เธอได้ยินมา.
ผมพูดขึ้นว่า “หลายเรื่องที่คุณได้ยินมาไม่เป็นความจริงเลย.” หลังจากได้พูดคุยนานพอสมควร ผมสามารถทำให้เธอเชื่อได้ว่าเธอไม่รู้ความจริงทั้งหมด. หลังจากนั้น เธอเริ่มขอให้ผมถามแรนดีหลายอย่าง แล้วผมก็นำคำตอบที่ชัดเจนจากพระคัมภีร์กลับมาให้เธอครั้งแล้วครั้งเล่า. ในที่สุด ทรีนาพูดว่า “ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าทั้งหมดนี้อยู่ในคัมภีร์ไบเบิล แต่ฉันไม่วายจะคิดว่าพวกเขามีอะไรแปลก ๆ. ถ้าคุณอยากพูดคุยกับเขาเรื่องคัมภีร์ไบเบิลต่อไป ฉันก็ไม่ว่าอะไร; แต่ขออย่ากลับบ้านแล้วมายัดเยียดความเชื่อให้ฉัน.”
ช่วงกลัดกลุ้มระทมทุกข์
ผมเชื่อสิ่งที่ได้เรียนรู้จากคัมภีร์ไบเบิล แต่ผมมีความรู้สึกว่าไม่อาจดำเนินชีวิตตามความรู้นั้น. ดูเหมือนว่าผมกับทรีนาทะเลาะกันบ่อยขึ้น. ดังนั้น ผมกับเพื่อนคนหนึ่งจึงตัดสินใจผละจากคู่รักของเราและไปเริ่มชีวิตใหม่ในรัฐโอกลาโฮมา. ผมจัดแจงขอลาพักงาน. ในไม่ช้าผมกับเพื่อนก็ย้ายเข้าไปอยู่ในอพาร์ตเมนต์ในเมืองเล็กใกล้ชายแดนรัฐเท็กซัส. ไม่ช้าผมก็ตระหนักว่าผมคิดถึงทรีนามากเพียงใด แต่ถึงอย่างไรผมก็ได้ตกลงใจจะหาความสนุกเพลิดเพลินให้ตัวเอง.
ผมรู้มาว่า ที่รัฐเท็กซัส คนที่จะดื่มเหล้าได้ต้องอายุไม่ต่ำกว่า 19 ปี ดังนั้น เมื่อเพื่อนของผมเดินทางไปที่อื่นแล้ว คืนหนึ่งผมจึงข้ามแดนไปสนุกสนานที่บาร์ร็อกแอนด์ โรลล์ที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่ง. ผมเมามากจนขับรถไปชนพังยับเยิน และถูกจับเข้าห้องขัง. ในเวลาต่อมาผมสามารถติดต่อพ่อของผมได้ และพ่อก็ประกันตัวผมออกมา. ทรีนายอมให้ผมกลับมาอยู่ด้วยซึ่งผมรู้สึกขอบคุณ! ผมกลับไปทำงานที่เดิมและกลับไปศึกษาคัมภีร์ไบเบิลต่อกับแรนดีอีก.
การควบคุมชีวิตของผมเอง
นานเกือบสองปีนับตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมได้ยินเรื่องพยานพระยะโฮวา และผมตกลงใจจะเอาใจใส่ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลให้มากยิ่งขึ้น. ตอนนั้นผมมีอายุ 20 ปี และคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่ผมถูกรับเป็นบุตรบุญธรรมอย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้นของบทความนี้เริ่มรุมเร้าผม. ดังนั้น ผมจึงตั้งต้นสืบหาแม่ผู้ให้กำเนิดผมอย่างเอาจริงเอาจัง.
ผมโทรศัพท์ไปยังโรงพยาบาลที่ผมเกิดในอะแลสกา และได้สอบถามถึงขั้นตอนที่พึงดำเนินการต่อไป. หลังจากทราบว่าต้องทำอะไรบ้าง ผมได้สำเนาสูติบัตรฉบับเดิมมา และพบชื่อมารดาของผมคือ แซนดรา ลี เฮิร์ช; แต่ไม่ปรากฏชื่อบิดา. แซนดราอายุแค่ 19 ปีตอนที่ผมเกิด ดังนั้น ผมสันนิษฐานเอาว่า แม่คงเป็นสาวโสดที่มีความหวาดกลัวซึ่งคงตกอยู่ในฐานะลำบาก และจึงต้องทำการตัดสินใจที่ยากเย็น. สูติบัตรนั้นไม่ให้ข้อมูลมากพอที่ผมจะติดตามหาที่อยู่ของแม่ได้.
ในระหว่างนั้น ผลสืบเนื่องจากการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับแรนดี ผมมีความเชื่อมั่นว่าผมพบศาสนาแท้เข้าแล้ว. แต่ครั้งแล้วครั้งเล่าผมเลิกนิสัยที่ทำให้ตัวเป็นมลทินด้วยการใช้ยาสูบไม่ได้สักที. (2 โกรินโธ 7:1) ผมรู้สึกว่าพระยะโฮวาละทิ้งผม. แต่แล้ว พยานฯ คนหนึ่งที่หอประชุมราชอาณาจักรได้บอกอะไรอย่างหนึ่งซึ่งช่วยผมได้จริง ๆ. เขาเอ่ยขึ้นมาว่าซาตานเป็นตัวการที่อยากให้เราพลาดท่า และเป็นเรื่องเศร้าที่เห็นใครคนหนึ่งพลาดชีวิตนิรันดร์โดยยอมแพ้. เขาพูดว่า “เราจำต้องทอดภาระของเราไว้กับพระยะโฮวา และหมายพึ่งพระองค์เต็มที่เพื่อจะทรงช่วยเราให้ผ่านพ้นยามที่เราประสบความยุ่งยากเดือดร้อน.”—บทเพลงสรรเสริญ 55:22.
นั่นเป็นคำพูดที่ผมต้องการฟังอยู่พอดี! ผมเริ่มปฏิบัติตามที่เขาพูด โดยทูลอธิษฐานเนือง ๆ ขอความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา. ในไม่ช้า ผมเลิกใช้ยาสูบได้สำเร็จ และทรีนากับผมก็แต่งงานกัน และผมกลายเป็นคนสม่ำเสมอในการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. ในเวลาต่อมา ทรีนาก็เริ่มต้นศึกษาเช่นกัน. ผมแสดงสัญลักษณ์การอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาโดยการรับบัพติสมาในน้ำ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 1991. หลังจากวันนั้นไม่ถึงสองสัปดาห์ บรีแอนนา จีน ลูกสาวคนแรกของเราก็เกิดมา.
ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพ่อ
ผมกับพ่อสนิทสนมกัน. ท่านเป็นคนใจดีมาก อยู่พร้อมที่จะให้กำลังใจเสมอเมื่อผมรู้สึกคับข้องใจ. กระนั้น ท่านเป็นคนเข้มงวดเมื่อผมต้องได้รับการตีสอน. ดังนั้น ต้นปี 1991 เป็นเวลาที่ผมยุ่งยากใจเมื่อรู้ว่าพ่อป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดขั้นสุดท้าย. ช่วงนั้นพ่อกับแม่ย้ายไปอยู่ที่เมืองแฮมิลตัน รัฐมอนตานา. เราไปเยี่ยมพ่อที่นั่นบ่อย ๆ และพยายามหนุนกำลังใจแม่.
เราสามารถให้หนังสือชีวิตมีแค่นี้ละหรือ? แก่พ่อ. ท่านสัญญาจะอ่าน ทั้งยังได้พูดว่าท่านห่วงสวัสดิภาพของครอบครัว. ในการเยี่ยมครั้งสุดท้าย พ่อบอกผมว่าท่านภูมิใจเพียงใดที่ได้ผมเป็นลูกและบอกว่าท่านรักผมมากเพียงใด. แล้วท่านก็หันหน้าไปทางหน้าต่างขณะที่น้ำตาไหลพราก. เราโอบกอดกันหลายครั้งก่อนผมจากมา. พ่ออ่านหนังสือเล่มนั้นได้ประมาณหนึ่งในสามก่อนท่านตายเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 1991.
หลังจากพ่อเสียชีวิตและเราได้ย้ายไปเมืองโมเสส เลค รัฐวอชิงตัน ผมยิ่งมีความปรารถนามากขึ้นที่จะสืบค้นหาอดีตตัวเอง. แต่ถึงแม้เวลาหมดไปกับการสืบค้น เราก็ไม่ได้ละเลยสิ่งฝ่ายวิญญาณ. ทรีนาได้รับบัพติสมาวันที่ 5 มิถุนายน 1993 และหกเดือนต่อมา เธอได้คลอด เซียร์รา ลินน์ ลูกสาวคนที่สองของเรา.
วิธีที่ผมพบแม่ผู้ให้กำเนิด
ผมคอยสอบถามข้อมูลจากทางระบบกฎหมายของอะแลสกา เขียนจดหมายฉบับแล้วฉบับเล่าส่งไปยังหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งค้นหาในคอมพิวเตอร์ด้วยตนเอง. แต่ก็ไร้ผล. ครั้นจวนสิ้นปี 1995 ผมได้ไปตรวจสุขภาพซึ่งทราบผลว่าหัวใจเต้นผิดปกติ. อายุผมเพิ่ง 29 ปีเท่านั้น และแพทย์ต้องการรู้ประวัติการเจ็บป่วยของผม.
นายแพทย์คนนั้นได้เขียนคำร้องอย่างละเอียด ชัดแจ้ง พร้อมทั้งเน้นให้เห็นว่าข้อมูลในแฟ้มการรับเป็นบุตรบุญธรรมนั้นสำคัญยิ่งต่อสวัสดิภาพด้านร่างกายของผม. ต่อมา เราได้หนังสือตอบ. หนังสือนั้นมีคำแถลงการตัดสินของผู้พิพากษาว่าเขาไม่เห็นว่าในด้านการรักษาของผมนั้นมีความจำเป็นถึงกับจะต้องเปิดแฟ้มเอกสารนั้น. ผมหมดหวังสิ้นท่า. แต่สองสามสัปดาห์ต่อมา มีจดหมายจากผู้พิพากษาอีกคนหนึ่งมาถึงผม. ศาลได้สั่งอนุมัติให้ผมดูแฟ้มประวัติของผมที่ถูกรับเป็นบุตรบุญธรรมได้!
แฟ้มเอกสารตัวจริงของผมเกี่ยวกับการถูกรับเป็นบุตรบุญธรรมนั้นได้ส่งมาตอนต้นเดือนมกราคม 1996. แฟ้มเหล่านี้ระบุชื่อเมืองอันเป็นบ้านเกิดของแม่ผู้ให้กำเนิดผม อีกทั้งพื้นเพของครอบครัว. ในทันทีทันใดผมลงมือค้นหาชื่อแซนดรา พร้อมทั้งภูมิลำเนาของท่านจากคอมพิวเตอร์ และได้พบรายชื่อผู้ใช้โทรศัพท์หกชื่อ. ทั้งทรีนาและผมตัดสินใจว่าเป็นการดีที่สุดที่จะให้ทรีนาเป็นฝ่ายโทรศัพท์. พอโทรฯ ถึงรายที่สาม เสียงผู้หญิงตอบว่าแซนดรานั้นเป็นหลานสาวของตน และเธอได้บอกหมายเลขโทรศัพท์ของหลานสาวให้ด้วย.
การพูดโทรศัพท์และเรื่องไม่คาดคิด
ครั้นทรีนาโทรศัพท์ไปที่เลขหมายนั้น ผู้หญิงที่รับสายไม่ยอมบอกชื่อของตนเอง. ในที่สุด ทรีนาพูดอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “สามีของฉันเกิดที่เมืองเคชชิแกน อะแลสกา เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 1966 และฉันต้องการจะรู้ว่าคุณใช่คนที่ฉันกำลังติดตามหาหรือเปล่า.” เงียบไปนาน ครั้นแล้ว ด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า หญิงคนนั้นขอทราบชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ของทรีนา และบอกว่าเธอจะโทรฯ กลับ. ผมไม่คิดว่าเธอจะโทรฯ กลับทันที ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจออกไปซื้อของบางอย่างที่เราต้องการที่ร้านค้า.
เมื่อผมกลับมา ทรีนากำลังพูดโทรศัพท์และน้ำตาคลอเบ้า. เธอยื่นโทรศัพท์ให้ผม. ระหว่างที่ผมกับแม่พูดทักทายและถามสารทุกข์สุกดิบของกันและกันทรีนารีบกระซิบบอกว่า “จริง ๆ แล้ว ท่านไม่ต้องการยกคุณให้คนอื่น.” ผมเกิดความรู้สึกสงสารแม่เป็นที่สุด ขณะที่แม่เริ่มเล่าเรื่องตัวเอง. ผมพูดขึ้นว่า “ผมต้องการขอบคุณที่แม่ให้ชีวิตผมมา. ผมมีชีวิตอยู่สบายและมีทุกอย่างตามที่ผมจำต้องมี. ผมมีพ่อแม่ที่ดีและได้รับความรักมากมาย และตอนนี้ผมได้ภรรยาที่แสนดีและลูกสาวที่น่ารักสองคน. ผมมีความสุขมาก.”
แม่เริ่มร้องไห้. ขณะที่เรายังคงคุยต่อไปท่านได้เล่าเรื่องที่ท่านถูกข่มขืน แล้วตั้งครรภ์ และได้รับแรงกดดันจนต้องยกผมให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่น; แล้วแม่เล่าว่าหลังจากนั้นท่านก็แต่งงาน และระยะหนึ่งต่อมา ขณะพักฟื้นรักษาตัวในโรงพยาบาลหลังการผ่าตัด ลูกสาววัยทารกของท่านพร้อมกับยายได้เสียชีวิตในกองเพลิง. แม่บอกว่าตอนนั้นท่านมีความรู้สึกว่าพระเจ้าทรงเอาบุคคลผู้เป็นที่รักไปเช่นนั้นก็เพื่อลงโทษท่านที่ได้ยกลูกชายตัวเองให้คนอื่น. ผมตอบทันควันว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าไม่จัดการด้วยวิธีนี้!” แม่พูดว่าขณะนี้ แม่รู้แล้ว เพราะหลังจากเหตุรันทดใจครั้งนั้น ท่านได้เริ่ม “แสวงความจริงจากคัมภีร์ไบเบิล” และตอนนี้ก็ได้เป็น “นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล.”
ผมเริ่มคิด ‘คงไม่ใช่น่า’ ขณะที่ผมถามว่า “แม่ศึกษากับใครล่ะ?” เสียงเงียบไปนาน. แล้วท่านก็ตอบว่า “พยานพระยะโฮวา.” ผมรู้สึกตกตะลึงจนพูดไม่ออก. ในที่สุดผมก็พูดออกมาทั้งน้ำตาว่า “ผมก็เป็นพยานฯ เช่นกัน.” เมื่อผมพูดซ้ำให้ชัดเจนยิ่งขึ้นแม่ตื่นเต้นดีใจสุดขีด. นี่เป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์เหลือเกิน!
แม่ได้เข้ามาเป็นพยานฯ ปี 1975 หลังจากลูกสาววัยทารกของท่านเสียชีวิตระยะหนึ่ง. เมื่อสามีของแม่เริ่มก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณ ท่านได้บอกเขาถึงเรื่องของผม. เขาพูดปลอบใจทั้งยังได้บอกด้วยว่าพวกเขาจะพยายามตามหาผม. แต่จากนั้นไม่นาน เขาเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทิ้งลูกเล็ก ๆ สามคนไว้ให้แม่เลี้ยงดู. หลังจากนั้นเราคุยกันนานนับชั่วโมงในตอนเย็น ๆ. ท้ายที่สุด เราตกลงว่า สัปดาห์ที่สองของเดือนกุมภาพันธ์ 1996 เราจะพบกันที่เมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา. แม่วางแผนไว้แล้วที่จะไปที่นั่นกับซิสเตอร์อีกคนหนึ่งซึ่งเป็นคริสเตียนพยานฯ.
เหตุการณ์น่าจดจำที่ได้มาพบกัน
การเดินทางเที่ยวนี้ ผมกับทรีนาไม่ได้พาลูกไปด้วย. ขณะที่ผมเดินลงจากเครื่องบิน ผมมองเห็นแม่และในที่สุดก็ได้โอบกอดแม่. เรากอดกันพลางแม่ก็บอกว่าแม่คอยจะได้โอบกอดผมมานานถึง 29 ปี และโอบกอดผมอยู่นาน. การได้อยู่ด้วยกันเป็นโอกาสวิเศษจริง ๆ และเราต่างก็เอารูปถ่ายออกมาดูกันและมีเรื่องเล่าสู่กันฟัง. แต่ที่สำคัญเป็นพิเศษก็คือการได้นั่งกับแม่ที่หอประชุมราชอาณาจักรในเมืองฟีนิกซ์! เรานั่งฟังการประชุมด้วยกันและยืนเคียงข้างกันขณะที่เราร้องเพลงราชอาณาจักร. ช่างเป็นความรู้สึกอันวิเศษยิ่งที่ผมจะจดจำไว้ชั่วกาลนาน.
เดือนเมษายน 1996 ลอราน้องสาวต่างบิดาของผมได้มาจากบ้านของเธอในรัฐไอโอวามาเยี่ยมพวกเรา. ช่างวิเศษอะไรเช่นนี้ที่ได้สมาคมคบหาด้วยความรักอันอบอุ่นแบบคริสเตียนด้วยกันกับน้องสาว! นอกจากนี้ ผมได้โทรศัพท์คุยกับน้องชายต่างบิดาสองคนซึ่งผมเพิ่งรู้ว่ามี. ที่จะได้ร่วมสมานสามัคคีกับครอบครัวของผมนับว่าเยี่ยมมากแล้ว แต่ที่จะร่วมสามัคคีกันด้วยความรักภายในองค์การของพระยะโฮวาย่อมถือได้ว่าเป็นของประทาน ซึ่งเฉพาะพระยะโฮวาพระเจ้าองค์ใหญ่ยิ่งแต่องค์เดียวสามารถประทานแก่พวกเรา.—เล่าโดย เดนา โฟลซ์.
[รูปภาพหน้า 23]
ผมกับแม่ผู้ให้กำเนิด